ฟ้องคดีธุรกิจในศาลไทย ต้องรู้อะไรก่อนบ้างสำหรับเจ้าของกิจการใน Thailand

อัปเดตเมื่อ Dec 22, 2025
  • ก่อนตัดสินใจฟ้องคดีธุรกิจในศาล คุณควรประเมินทั้งโอกาสชนะคดี ต้นทุนเวลา และค่าใช้จ่าย รวมถึงโอกาสในการเจรจาไกล่เกลี่ยนอกศาล
  • ข้อพิพาททางธุรกิจที่พบบ่อย เช่น ค่าสินค้าและบริการค้างชำระ เช็คเด้ง สัญญาไม่เป็นไปตามข้อตกลง หุ้นส่วน/ผู้ถือหุ้นขัดแย้งกัน
  • การเลือกศาลแพ่ง ศาลจังหวัด หรือศาลแขวง ขึ้นกับมูลค่าข้อพิพาท (จำนวนเงินที่ฟ้อง) และเขตอำนาจศาลที่คู่กรณีมีภูมิลำเนาหรือสถานที่ชำระหนี้
  • การเตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบก่อนพบทนาย เช่น สัญญา ใบสั่งซื้อ/ใบแจ้งหนี้ หลักฐานโอนเงิน อีเมล/แชต จะช่วยให้ทนายประเมินโอกาสคดีและค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน
  • ขั้นตอนคดีแพ่งธุรกิจทั่วไปประกอบด้วย การยื่นฟ้อง รับหมาย แจ้งคู่ความ การยื่นคำให้การ การไกล่เกลี่ย สืบพยาน และศาลมีคำพิพากษา
  • ค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายทนายถือเป็นการลงทุนเพื่อปกป้องสิทธิธุรกิจของคุณ แต่ควรเปรียบเทียบกับ "จำนวนหนี้ + โอกาสเก็บหนี้ได้จริง" ทุกครั้ง

ภาพรวม: ก่อนฟ้องคดีธุรกิจในศาลไทย เจ้าของกิจการควรรู้อะไรบ้าง?

ก่อนฟ้องคดีธุรกิจ คุณควรตอบให้ได้ 3 เรื่องหลัก คือ ฟ้อง"เรื่องอะไร" ฟ้อง"ที่ศาลไหน" และฟ้องแล้ว"คุ้มไหม"เมื่อเทียบกับโอกาสเก็บหนี้ได้จริงและค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ต้องจ่ายระหว่างทางคดี. การเตรียมเอกสารและปรึกษาทนายความตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความเสี่ยง ฟ้องไม่ถูกศาล ฟ้องผิดคู่ความ หรือฟ้องทั้งที่โอกาสเก็บหนี้ต่ำมาก.

บทความนี้สรุปประเภทข้อพิพาทที่มักฟ้องในศาลไทย วิธีเลือกศาล เอกสารที่ต้องเตรียม ภาพรวมขั้นตอนคดี รวมถึงค่าใช้จ่ายคร่าวๆ และประโยชน์ของการใช้ทนายความธุรกิจ สำหรับเจ้าของกิจการ SME, บริษัท, ห้างหุ้นส่วน ที่กำลังชั่งใจว่าจะเริ่มคดีหรือไม่.

1. ประเภทข้อพิพาททางธุรกิจที่มักนำไปสู่การฟ้องคดีในศาลไทย

ข้อพิพาทที่มักนำไปสู่คดีธุรกิจในศาลไทย มักเกี่ยวกับ "การไม่ปฏิบัติตามสัญญา" และ "การผิดนัดชำระหนี้" เช่น ลูกหนี้ไม่จ่ายค่าสินค้า หุ้นส่วนไม่ทำตามข้อตกลง หรือคู่ค้าเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ. การรู้ว่ากรณีของคุณเข้าข่ายข้อพิพาทแบบใด จะช่วยทนายประเมินฐานกฎหมาย ค่าสินไหม และกลยุทธ์คดีได้ง่ายขึ้น.

ข้อพิพาทธุรกิจที่พบบ่อย

  • ค่าสินค้า/ค่าบริการค้างชำระ
    • ขายสินค้าแล้วลูกค้าไม่จ่ายหรือจ่ายไม่ครบ
    • ให้บริการแล้วลูกค้าปฏิเสธการชำระ โดยอ้างว่าไม่พอใจงานหรือเกินกำหนดเวลา
  • เช็คเด้ง ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเอกสารทางการค้าอื่น
    • ลูกค้าจ่ายเช็คแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
    • ตั๋วแลกเงิน/ตั๋วสัญญาใช้เงินครบกำหนดแล้วไม่ชำระ
  • ผิดสัญญาทางการค้า
    • คู่ค้าไม่ส่งมอบสินค้า หรือส่งช้า/ผิดสเปกจนเกิดความเสียหาย
    • ผิดสัญญาแฟรนไชส์ สัญญาจัดจำหน่าย สัญญาเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นต้น
  • ข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้น/หุ้นส่วน
    • ผู้ถือหุ้นขัดแย้งกันเรื่องการบริหาร แบ่งปันผล หรือนำทรัพย์สินบริษัทไปใช้ส่วนตัว
    • ข้อพิพาทเรื่องข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders' Agreement) หรือข้อบังคับบริษัท
  • ละเมิดทางธุรกิจ
    • คู่แข่งใช้ข้อมูลลับ ลูกน้องเก่าดึงลูกค้าไปเปิดบริษัทแข่ง
    • ชื่อเสียงธุรกิจเสียหายจากการโพสต์หรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
  • ข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา
    • ลอกเลียนแบบโลโก้ ดีไซน์ซอฟต์แวร์ รูปภาพ เนื้อหา
    • ละเมิดเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิบัตร (อาจเกี่ยวข้องศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ)

คำถามติดตามที่ควรถามตัวเอง

  • ข้อพิพาทของคุณเป็นเรื่องสัญญา หนี้ หรือละเมิด? มีเอกสารอะไรยืนยันข้อตกลงบ้าง?
  • มีหลักฐานแสดงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณอย่างไร (ยอดขายหาย รายจ่ายเพิ่ม ฯลฯ)?
  • คู่กรณีเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัท/ห้างหุ้นส่วน ซึ่งมีทรัพย์สินให้บังคับคดีหรือไม่?

2. การเลือกระหว่างศาลแพ่ง ศาลจังหวัด และศาลแขวงตามมูลค่ายอดพิพาท

โดยหลักแล้ว คดีธุรกิจส่วนใหญ่เป็นคดีแพ่ง ต้องยื่นต่อศาลยุติธรรมที่มีอำนาจตาม "มูลค่าข้อพิพาท" (จำนวนเงินที่ฟ้อง) และ "เขตศาล" ที่คู่ความอยู่หรือที่ที่ต้องชำระหนี้. การยื่นฟ้องให้ถูกศาลตั้งแต่แรกช่วยประหยัดเวลาและเลี่ยงความเสี่ยงคดีถูกยกตามกระบวนวิธีพิจารณา.

โครงสร้างศาลแพ่งทั่วไป (ภาพรวมที่เจ้าของกิจการควรรู้)

  • ศาลแพ่ง/ศาลจังหวัด
    • พิจารณาคดีแพ่งที่มีมูลค่าข้อพิพาทสูง (หลักแสนขึ้นไป/หลักล้านบาท)
    • ศาลจังหวัดทำหน้าที่คล้ายศาลแพ่งในต่างจังหวัด
  • ศาลแขวง
    • พิจารณาคดีแพ่งมูลค่าไม่สูง (เหมาะกับคดีหนี้จำนวนไม่มาก หรือข้อพิพาท SME รายย่อย)
    • กระบวนการมักกระชับกว่า เหมาะกับคดีที่ต้องการความรวดเร็วและต้นทุนต่ำกว่า
  • ศาลเฉพาะด้าน (ถ้าเกี่ยวข้อง)
    • ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง สำหรับข้อพิพาท IP หรือการค้าระหว่างประเทศ
    • ศาลล้มละลายกลาง สำหรับคำร้องฟื้นฟูกิจการหรือคำร้องล้มละลายคู่ค้า

เกณฑ์มูลค่าคดีและเขตอำนาจศาลมีรายละเอียดและอาจปรับเปลี่ยนตามกฎหมายและระเบียบศาล ดังนั้นก่อนฟ้องควรให้ทนายความช่วยตรวจสอบให้แน่ใจว่าควรยื่นที่ศาลใด และในเขตศาลไหนจึงจะเหมาะสมที่สุด.

เช็กลิสต์ถามทนาย: ศาลไหนเหมาะกับคดีของคุณ

  • ยอดหนี้หรือค่าสินไหมที่คุณจะฟ้องประมาณกี่บาท?
  • คู่กรณีมีภูมิลำเนาหรือที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่จังหวัดไหน?
  • สถานที่ส่งมอบสินค้า/ชำระเงินอยู่ที่ใดในสัญญาหรือในทางปฏิบัติ?
  • คดีของคุณเกี่ยวกับ IP การค้าระหว่างประเทศ หรือล้มละลายหรือไม่?

3. เอกสารและพยานหลักฐานที่ควรเตรียมก่อนพบทนายความ

การเตรียมหลักฐานตั้งแต่ก่อนพบทนาย เป็นตัวกำหนดทั้ง "โอกาสชนะคดี" และ "ค่าใช้จ่าย" เพราะทนายสามารถประเมินได้เร็วว่าคดีแข็งแรงแค่ไหนและควรเรียกร้องอะไรได้บ้าง. หลักฐานที่ดีควรครอบคลุมทั้งการเกิดนิติสัมพันธ์ การผิดสัญญา และความเสียหาย.

เอกสารพื้นฐานสำหรับคดีธุรกิจ

  • เอกสารยืนยันตัวตน/นิติบุคคล
    • สำเนาบัตรประชาชน/หนังสือเดินทางของผู้มีอำนาจลงนาม
    • หนังสือรับรองนิติบุคคล, วัตถุประสงค์บริษัท, รายชื่อกรรมการ (ออกไม่เกิน 3-6 เดือน)
    • ตราประทับบริษัท (ถ้ามี) และข้อบังคับบริษัท (ถ้ามีข้อจำกัดการลงนาม)
  • เอกสารสัญญา/ข้อตกลง
    • สัญญาซื้อขาย สัญญาให้บริการ สัญญาแฟรนไชส์ สัญญาร่วมหุ้น ฯลฯ
    • ใบเสนอราคา (Quotation), ใบสั่งซื้อ (PO), ใบยืนยันคำสั่งซื้อ, Term sheet
    • เงื่อนไขการชำระเงิน กำหนดเวลา และข้อกำหนดผิดสัญญา/ค่าปรับ
  • หลักฐานการส่งมอบและชำระเงิน
    • ใบกำกับภาษี ใบส่งของ ใบรับสินค้า/แบบฟอร์มลงนามรับ
    • สลิปโอนเงิน รายงานเดินบัญชีธนาคาร (Statement)
    • เช็ค ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือเอกสารรับสภาพหนี้
  • การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่กรณี
    • อีเมล แชตไลน์ ข้อความในแพลตฟอร์มต่างๆ ที่พูดถึงข้อตกลง การร้องเรียน การยอมรับหนี้
    • หนังสือทวงถาม หนังสือตอบโต้ บันทึกประชุม หรือบันทึกการเจรจา
  • หลักฐานความเสียหายธุรกิจ
    • รายงานยอดขาย/กำไร ก่อนและหลังเหตุการณ์
    • ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะการผิดสัญญา เช่น ต้องไปหาซัพพลายเออร์ใหม่

วิธีเตรียมตัวก่อนนัดคุยทนาย

  • ทำ "ไทม์ไลน์เหตุการณ์" แบบสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อไร กับใคร
  • จัดแฟ้มเอกสาร (กระดาษหรือดิจิทัล) เป็นหมวดๆ ตามหัวข้อด้านบน
  • จดคำถามสำคัญ เช่น โอกาสชนะ? ค่าใช้จ่ายคาดการณ์? ระยะเวลาคดี?

คำถามติดตามที่ควรถามทนาย

  • หลักฐานที่มีเพียงพอหรือยัง ต้องเก็บอะไรเพิ่มอีกไหม?
  • มีจุดอ่อนอะไรในคดีของเราที่ควรเตรียมคำอธิบายล่วงหน้า?
  • ถ้าไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร มีวิธีใช้พยานบุคคลหรือหลักฐานดิจิทัลแทนได้หรือไม่?

4. ภาพรวมขั้นตอนฟ้องคดี ตั้งแต่คำฟ้อง การไกล่เกลี่ย จนถึงคำพิพากษา

คดีแพ่งธุรกิจในศาลไทยโดยทั่วไป เริ่มจากการยื่นคำฟ้อง ชำระค่าธรรมเนียม รับหมาย แล้วเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นคำให้การ ไกล่เกลี่ย สืบพยาน และศาลมีคำพิพากษา. หลายกรณีสามารถยุติได้ตั้งแต่ขั้นไกล่เกลี่ยก่อนสืบพยาน ทำให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย.

ภาพรวมขั้นตอนแบบย่อ

  1. เตรียมคดีและตัดสินใจฟ้อง
    • ปรึกษาทนาย ประเมินข้อเท็จจริง เอกสาร และความคุ้มค่าในการฟ้อง
    • กำหนดยอดหนี้/ค่าสินไหมที่ต้องการเรียกร้อง และแนวทางการต่อรอง
  2. ยื่นคำฟ้องที่ศาล
    • ทนายร่างคำฟ้อง ระบุข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคำขอท้ายฟ้อง
    • นำคำฟ้องและหลักฐานแนบไปยื่นที่ศาล พร้อมชำระค่าธรรมเนียมศาล
  3. ศาลรับฟ้องและส่งหมายให้จำเลย
    • เมื่อศาลรับฟ้อง จะออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลและให้ยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลา
    • ถ้าจำเลยไม่มาศาลหรือไม่ยื่นคำให้การ ศาลอาจพิพากษาโดยขาดนัด
  4. จำเลยยื่นคำให้การ
    • จำเลยโต้แย้งข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย หรือยื่นฟ้องกลับ (แย้งกลับ) ได้
    • หลังจากนั้นศาลจะกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐาน
  5. นัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยาน
    • ทั้งสองฝ่ายเสนอพยานและรายชื่อพยานบุคคลที่ต้องการให้ศาลไต่สวน
    • ศาลกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย
  6. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
    • หลายศาลจัดให้มีการไกล่เกลี่ยในหรือก่อนวันนัดพิจารณา เพื่อให้คู่ความตกลงกันได้โดยไม่ต้องสืบพยานจนจบคดี
    • หากตกลงกันได้ จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม
  7. สืบพยานและคำพิพากษา
    • หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ศาลจะดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลย
    • ภายหลังสืบพยานครบ ศาลจะนัดฟังคำพิพากษา
  8. ขั้นอุทธรณ์/ฎีกาและบังคับคดี (ถ้ามี)
    • ฝ่ายที่แพ้คดีอาจใช้สิทธิอุทธรณ์/ฎีกาได้ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย
    • หากได้คำพิพากษาถึงที่สุดและคู่กรณีไม่ชำระหนี้ ต้องยื่นคำขอบังคับคดี ยึดทรัพย์ อายัดบัญชี หรืออายัดเงินเดือน

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • คดีประเภทนี้ใช้เวลาประมาณกี่ปีในศาลชั้นต้น?
  • ถ้าคู่กรณีไม่มาศาลเลย เราจะได้เงินเร็วขึ้นหรือไม่?
  • ถ้าฟ้องแล้วจะบีบให้คู่กรณีมาเจรจาได้จริงแค่ไหน?

5. ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมศาล และประโยชน์ของการใช้ทนายความธุรกิจ

ต้นทุนสำคัญของการฟ้องคดีธุรกิจคือ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าพยาน ค่าเดินทาง. การประเมินต้นทุนทั้งหมดเทียบกับยอดหนี้และโอกาสเก็บหนี้ได้จริง เป็นหัวใจของการตัดสินใจว่าควรฟ้องหรือไม่.

ค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายโดยสังเขป

  • ค่าธรรมเนียมศาล
    • กำหนดตาม "มูลค่าข้อพิพาท" ตามกฎหมายว่าด้วยค่าธรรมเนียมศาล (มักเป็นอัตราร้อยละของจำนวนเงินที่ฟ้อง มีเพดานสูงสุด)
    • คดีมูลค่าสูง ค่าธรรมเนียมอาจเป็นเงินจำนวนมาก จึงต้องพิจารณาความคุ้มค่าสำหรับธุรกิจ
    • ในบางกรณีสามารถยื่นคำขอผ่อน/ลดค่าธรรมเนียมได้ หากมีเหตุจำเป็นและเข้าเกณฑ์ตามกฎหมาย
  • ค่าทนายความ
    • อาจคิดเป็นเหมาจ่ายต่อทั้งคดี คิดเป็นรายนัด หรือผสมระหว่างค่าดำเนินคดีกับโบนัสตามผลสำเร็จ
    • มักขึ้นกับมูลค่าคดี ความซับซ้อน และจำนวนวันสืบพยาน
    • ควรขอใบเสนอราคาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
    • ค่าพยานผู้เชี่ยวชาญ ค่าตรวจสอบบัญชีหรือเอกสาร
    • ค่าเดินทาง ที่พัก (หากคดีอยู่นอกพื้นที่ธุรกิจ)
    • ค่าเอกสาร ค่ารับรองสำเนา ค่าไปรษณีย์ลงทะเบียน/EMS

ประโยชน์ของการใช้ทนายความธุรกิจ

  • วางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ เช่น จะมุ่งเอาชนะคดีเต็มที่ หรือมุ่งสร้างแรงกดดันเพื่อให้คู่กรณีมาเจรจา
  • ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดทางกระบวนวิธี ที่อาจทำให้คดีล่าช้า หรือเสียสิทธิ เช่น ยื่นเอกสารล่าช้า ยกข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายไม่ครบ
  • ประเมินโอกาสบังคับคดีได้จริง เช่น ตรวจสอบทรัพย์สิน หนี้สิน และความสามารถชำระหนี้ของคู่กรณี
  • ช่วยเจรจาและร่างข้อตกลงยอมความ เพื่อให้เงื่อนไขผ่อนชำระหรือเงื่อนไขอื่นๆ ปลอดภัยสำหรับธุรกิจของคุณ

คำถามทางการเงินที่ควรถามก่อนตัดสินใจฟ้อง

  • ถ้าชนะคดีเต็มจำนวน จะได้เงินคืนสุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด) ประมาณเท่าไร?
  • มีโอกาสที่คู่กรณีจะล้มละลายหรือโอนย้ายทรัพย์สินหนีจนบังคับคดีไม่ได้หรือไม่?
  • ถ้าไม่ฟ้อง แล้วเลือกใช้วิธีเจรจา/ส่วนลดหนี้ จะคุ้มค่ากว่าในมุมมองธุรกิจหรือไม่?

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยของเจ้าของกิจการก่อนฟ้องคดี

  • คิดว่าฟ้องแล้ว "ศาลจะบังคับให้เขาจ่ายเงินทันที"

    ในความเป็นจริง หลังมีคำพิพากษาแล้ว หากคู่กรณียังไม่จ่าย เจ้าหนี้ต้องดำเนินการ "บังคับคดี" เพิ่มเติม เช่น ยึดทรัพย์หรืออายัดบัญชี ซึ่งใช้เวลาและค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่ง.

  • เชื่อว่าถ้าไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ฟ้องไม่ได้

    กฎหมายไทยยอมรับหลักฐานได้หลายรูปแบบ เช่น อีเมล แชต ใบสั่งซื้อ ใบส่งของ หรือพยานบุคคล แต่การไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรทำให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงยากขึ้นและเสี่ยงต่อการแพ้คดี.

  • คิดว่าฟ้องเองโดยไม่ใช้ทนายจะประหยัดกว่าเสมอ

    แม้ในทางกฎหมาย บุคคลธรรมดาบางกรณีสามารถดำเนินคดีเองได้ แต่ในคดีธุรกิจที่มูลค่าสูงหรือข้อเท็จจริงซับซ้อน การไม่มีทนายอาจทำให้เสียเปรียบคู่กรณีที่มีทนาย และเกิดความผิดพลาดทางกระบวนวิธีที่ยากจะแก้ไขภายหลัง.

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฟ้องคดีธุรกิจในศาลไทย

ถ้าลูกค้าต่างจังหวัดไม่จ่ายค่าสินค้า ต้องฟ้องที่ศาลจังหวัดไหน?

โดยหลักสามารถฟ้องได้ที่ศาลในเขตที่จำเลยมีภูมิลำเนา หรือเขตที่สถานที่ชำระหนี้/ส่งมอบสินค้าตามตกลงอยู่ ทั้งนี้ควรให้ทนายช่วยตรวจสัญญาและข้อเท็จจริงเพื่อเลือกศาลที่เหมาะสม.

คดีธุรกิจปกติใช้เวลากี่ปีถึงจะได้คำพิพากษา?

ขึ้นอยู่กับภาระงานของศาล ความซับซ้อนของคดี และจำนวนพยาน โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่หลายเดือนจนถึง 1-3 ปีในศาลชั้นต้น และนานกว่านั้นหากมีการอุทธรณ์/ฎีกา.

หากคู่กรณีไม่มีทรัพย์สิน ฟ้องคดีมีประโยชน์หรือไม่?

หากไม่มีทรัพย์สินหรือรายได้ให้บังคับคดี การฟ้องอาจไม่คุ้มค่าในแง่การเก็บเงิน แต่อาจมีประโยชน์ด้านการกดดัน การป้องกันการฉ้อโกง หรือใช้เป็นฐานเจรจาต่อรอง ซึ่งควรปรึกษาทนายเป็นกรณีไป.

สามารถหาข้อมูลศาลและกระบวนการยื่นฟ้องได้จากที่ไหน?

คุณสามารถศึกษาข้อมูลภาพรวมจากเว็บไซต์ของศาลยุติธรรม เช่น สำนักงานศาลยุติธรรม และตรวจดูแบบฟอร์มหรือแนวปฏิบัติบางส่วนของศาลแต่ละแห่งในเว็บไซต์ของศาลนั้นๆ.

ถ้าต้องการให้ศาลช่วยไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องคดีทำได้ไหม?

มีโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในบางศาลที่สามารถยื่นขอไกล่เกลี่ยก่อนได้โดยยังไม่ต้องฟ้องคดี คุณสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ศาลยุติธรรม หรือสอบถามจากศาลใกล้บ้าน.

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความธุรกิจ?

คุณควรพิจารณาจ้างทนายความธุรกิจทันทีที่ข้อพิพาทเริ่มมีมูลค่า "กระทบกระแสเงินสด" หรือ "ชื่อเสียงธุรกิจ" อย่างมีนัยสำคัญ หรือเมื่อคดีมีความซับซ้อน เช่น มีหลายคู่กรณี หลักฐานจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศ. ทนายสามารถช่วยคุณประเมินความคุ้มค่าในการฟ้อง วางแผนเจรจา และเตรียมเอกสารให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของศาล.

หากมูลค่าคดีสูง การใช้ทนายตั้งแต่ช่วงเจรจานอกศาลอาจช่วยปิดคดีได้เร็วและเงื่อนไขดีกว่าการปล่อยให้ข้อพิพาทบานปลายจนต้องฟ้อง ซึ่งใช้เวลาและต้นทุนเพิ่มขึ้น.

ขั้นตอนต่อไปสำหรับเจ้าของกิจการที่กำลังคิดจะฟ้องคดี

  1. รวบรวมสัญญา ใบสั่งซื้อ ใบแจ้งหนี้ หลักฐานโอนเงิน และการติดต่อกับคู่กรณีให้ครบถ้วน
  2. จัดทำไทม์ไลน์เหตุการณ์และยอดหนี้ที่ต้องการเรียกร้องอย่างชัดเจน
  3. ปรึกษาทนายความธุรกิจ โดยนำเอกสารทั้งหมดไปให้ทบทวน และขอประเมินโอกาสคดี + ค่าใช้จ่าย
  4. เปรียบเทียบตัวเลือกระหว่าง "ฟ้องคดี" "เจรจา/ส่วนลดหนี้" หรือ "ไม่ดำเนินการ" ว่าทางเลือกใดคุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจ
  5. หากตัดสินใจฟ้อง เตรียมแผนกระแสเงินสดรองรับค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายตลอดช่วงคดี และวางแผนสำรองเผื่อกรณีบังคับคดีหลังชนะคดี

การฟ้องคดีธุรกิจในศาลไทยคือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่การ "เอาคืน" คู่กรณี การเตรียมตัวที่ดีและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปกป้องธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด.

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม