ฟื้นฟูกิจการ SME ในไทย: ทางเลือกก่อนยื่นล้มละลาย
- การ "ปรับโครงสร้างหนี้" เป็นการเจรจาตกลงใหม่กับเจ้าหนี้เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ ส่วน "ล้มละลาย" คือการชำระบัญชีทรัพย์สินเมื่อธุรกิจไปต่อไม่ได้แล้ว
- SME ควรเริ่มพูดคุยกับเจ้าหนี้และวางแผนฟื้นฟูทันทีที่เห็นสัญญาณสภาพคล่องตึงตัว อย่ารอให้ถูกฟ้องล้มละลายก่อน
- การเตรียมเอกสารการเงินและสัญญาต่าง ๆ อย่างเป็นระบบจะช่วยให้ทนายความและที่ปรึกษาฟื้นฟูประเมินทางเลือกและเจรจาได้มีน้ำหนัก
- ศาลล้มละลายกลางและผู้ทำแผนฟื้นฟูมีบทบาทสำคัญ หากเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย แต่ SME ส่วนมากควรเริ่มจากการฟื้นฟูแบบ "นอกศาล" ก่อน
- ยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษาการดำเนินธุรกิจได้ หากวางแผนกระแสเงินสด ปรับโครงสร้างค่าใช้จ่าย และเจรจาเงื่อนไขหนี้อย่างรอบคอบ
จุดประสงค์ของบทความนี้คือช่วยเจ้าของกิจการและผู้บริหาร SME เข้าใจทางเลือก "ฟื้นฟูกิจการ" ก่อนต้องเผชิญกระบวนการล้มละลายอย่างเป็นทางการ โดยเน้นทั้งมุมมองกฎหมายและมุมการเงินที่ลงมือทำได้จริง เหมาะกับผู้ประกอบการที่เริ่มมีปัญหาสภาพคล่องจนกังวลว่าธุรกิจอาจไปต่อไม่ได้หรือถูกเจ้าหนี้ฟ้องบังคับคดี
ความแตกต่างระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้กับการล้มละลายตามกฎหมายไทยคืออะไร?
โดยสรุป การปรับโครงสร้างหนี้เป็นกระบวนการ "ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด" ผ่านการเจรจาและปรับเงื่อนไขหนี้ ส่วนการล้มละลายเป็นกระบวนการ "ปิดบัญชี" เมื่อศาลเห็นว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้จริง ฟื้นฟูไม่ได้ และต้องนำทรัพย์สินมาขายชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามลำดับกฎหมายกำหนด
สำหรับ SME ในไทย กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องคือ พระราชบัญญัติล้มละลาย ซึ่งมีทั้งบทบัญญัติเกี่ยวกับ "การล้มละลาย" และ "การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้" การปรับโครงสร้างหนี้อาจทำได้ 2 ทางหลักคือ
- ปรับโครงสร้างหนี้แบบนอกศาล ผ่านการเจรจากับธนาคารหรือเจ้าหนี้รายอื่น โดยยังไม่เข้าสู่ศาลล้มละลาย
- ฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายกลาง เมื่อยื่นคำร้องและศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการอย่างเป็นทางการ
| ประเด็น | ปรับโครงสร้างหนี้ / ฟื้นฟูกิจการ | ล้มละลาย |
|---|---|---|
| เป้าหมาย | ให้ธุรกิจดำเนินต่อได้ ลด/ยืด/ปรับหนี้ให้สอดคล้องความสามารถ | รวบรวมทรัพย์สินมาขายชำระหนี้ ปิดกระบวนการหนี้สิน |
| สถานะกิจการ | ยังดำเนินธุรกิจต่อ ปรับแผนธุรกิจและกระแสเงินสด | โดยมากสิ้นสุดการดำเนินธุรกิจ หรือโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่น |
| การมีส่วนร่วมของศาล | อาจไม่มีศาล (นอกศาล) หรือมีศาลล้มละลายกลางกำกับในคดีฟื้นฟูกิจการ | มีศาลล้มละลายกลางและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการ |
| ผลต่อเจ้าของ/กรรมการ | ยังคงบริหารได้ (อาจมีผู้ทำแผนร่วมควบคุมในคดีฟื้นฟู) | อาจถูกจำกัดสิทธิ เช่น การเป็นกรรมการบริษัท การทำธุรกรรมบางประเภท |
| ผลต่อเครดิตในระบบการเงิน | กระทบแต่ยังดีกว่าถูกพิพากษาล้มละลายหากจัดการโปร่งใสและทำตามแผน | เสียเครดิตรุนแรง ยากต่อการกู้ยืมหรือทำธุรกิจในอนาคต |
ในทางปฏิบัติ เป้าหมายของ SME ส่วนใหญ่คือ "หลีกเลี่ยงการล้มละลาย" และใช้การฟื้นฟูกิจการเป็นสะพานเชื่อมให้ปรับตัวทัน เพื่อลดภาระหนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสเงินสดติดขัดจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจหรือโควิดที่ผ่านมา
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ถ้าธุรกิจขาดทุนต่อเนื่องหลายปี ยังมีสิทธิยื่นฟื้นฟูได้หรือไม่?
- การถูกฟ้องบังคับคดีหรืออายัดบัญชี มีผลอย่างไรต่อทางเลือกฟื้นฟู?
- ควรเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ก่อน หรือยื่นฟื้นฟูกิจการต่อศาลเลยดีกว่า?
กระบวนการเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้และข้อเสนอแผนฟื้นฟูกิจการทำอย่างไร?
การเจรจาหนี้ที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการรู้ "ตัวเลขจริง" ของธุรกิจและเตรียมข้อเสนอที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ขอผัดผ่อนลอย ๆ SME ควรจัดทำแผนฟื้นฟูเบื้องต้น แสดงกระแสเงินสด แผนลดค่าใช้จ่าย และขอปรับโครงสร้างหนี้อย่างมีเหตุผล เพื่อให้เจ้าหนี้เชื่อว่ายอมยืดหนี้แล้วจะได้เงินคืนมากกว่าปล่อยให้คดีบานปลาย
1) เตรียมข้อมูลธุรกิจและสถานะหนี้
ก่อนเจรจา ต้องรู้ชัดว่าธุรกิจอยู่ตรงไหน ขาดทุนเพราะอะไร และมีหนี้อะไรบ้าง การเตรียมข้อมูลชัดเจนจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการคุยกับเจ้าหนี้ และทำให้ทนายความหรือที่ปรึกษาช่วยออกแบบโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
- สรุปรายการหนี้ทั้งหมด: เจ้าหนี้แต่ละราย ยอดคงค้าง ดอกเบี้ย เงื่อนไขผิดนัด
- งบการเงิน 2-3 ปีย้อนหลัง (ถ้ามี) พร้อมงบกระแสเงินสดปัจจุบัน
- รายการทรัพย์สินที่มี (อาคาร ที่ดิน เครื่องจักร รถยนต์ สินค้าคงคลัง ลูกหนี้การค้า)
- อธิบายสาเหตุปัญหาสภาพคล่อง เช่น รายได้หาย ลูกค้าหลักหาย ต้นทุนเพิ่ม
2) รูปแบบข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ที่ SME ใช้ได้บ่อย
ข้อเสนอที่ดีต้องตั้งอยู่บนความสามารถในการชำระหนี้จริงของธุรกิจ และสร้าง win-win ระหว่างลูกหนี้-เจ้าหนี้ ไม่ใช่แค่ "ขอลดให้เยอะที่สุด" โดยไม่แสดงแผนว่าธุรกิจจะกลับมามีกำไรได้อย่างไร
- ยืดระยะเวลาผ่อนชำระ ทำให้ค่างวดต่อเดือนลดลง เหมาะกับธุรกิจที่ยังมีรายได้สม่ำเสมอแต่ไม่พอจ่ายค่างวดเดิม
- พักเงินต้น ชำระเฉพาะดอกเบี้ยชั่วคราว ระหว่างรอรายได้กลับมา เช่น ระยะเวลา 6-12 เดือน
- ลดดอกเบี้ยหรือยกดอกเบี้ยค้างบางส่วน เพื่อให้ยอดรวมที่ต้องจ่ายในอนาคตอยู่ในระดับที่เป็นไปได้
- แปลงหนี้เป็นทุน (Debt-to-Equity) ในบางกรณีที่เจ้าหนี้ยอมเข้ามาถือหุ้นในธุรกิจแลกกับการลดหนี้
- ปรับโครงสร้างหลักประกัน เช่น ขายทรัพย์สินบางส่วนไปปิดหนี้ แล้วเปลี่ยนมาใช้ทรัพย์อื่นเป็นหลักประกันแทน
3) ขั้นตอนการเจรจากับเจ้าหนี้แบบเป็นระบบ
การเจรจาหนี้ที่มีโอกาสสำเร็จสูง มักใช้กระบวนการที่ชัดเจนและมีตัวแทน (เช่น ทนายความหรือที่ปรึกษาฟื้นฟู) ช่วยสื่อสารอย่างมืออาชีพ ลดอารมณ์และความตึงเครียดระหว่างคู่กรณี
- ประชุมภายในเพื่อกำหนด "ข้อเสนอขั้นต่ำ-สูงสุด" ที่ธุรกิจรับได้
- ให้ทนายความหรือกรรมการผู้มีอำนาจส่งหนังสือแสดงเจตนาปรับโครงสร้างหนี้
- ส่งข้อมูลการเงินและแผนฟื้นฟูเบื้องต้นให้เจ้าหนี้พิจารณาก่อนนัดคุย
- เข้าประชุมเจรจา อาจต้องคุยหลายรอบ ปรับรายละเอียดตาม Feedback ของเจ้าหนี้
- เมื่อได้ข้อยุติ ทำเป็นข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หรือทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ควรให้ทนายความเข้าร่วมทุกการประชุมเจรจาหรือไม่?
- ถ้ามีเจ้าหนี้หลายรายที่เห็นไม่ตรงกัน จะจัดการอย่างไร?
- ต้องกลัวไหมว่าการเปิดข้อมูลการเงินทั้งหมดให้เจ้าหนี้จะย้อนมาทำร้ายเรา?
เอกสารการเงินและกฎหมายที่ต้องเตรียมสำหรับทนายความและการฟื้นฟูกิจการ
ยิ่งเตรียมเอกสารครบตั้งแต่ต้น ทนายความและที่ปรึกษายิ่งสามารถวิเคราะห์ทางเลือก ฟื้นฟู และเจรจาได้เร็วและแม่นยำขึ้น เอกสารสำคัญไม่ได้มีแค่งบการเงิน แต่รวมถึงสัญญากู้ หลักประกัน และเอกสารสิทธิในทรัพย์สินต่าง ๆ ด้วย
1) เอกสารการเงินหลักที่ควรมี
สำหรับ SME หลายราย งบการเงินอาจไม่ได้ถูกจัดทำอย่างสม่ำเสมอ แต่ในการฟื้นฟูกิจการ ควรพยายามรวบรวมข้อมูลเท่าที่ทำได้ เพื่อใช้สร้างภาพรวมสถานะการเงินที่ชัดเจน
- งบการเงินตรวจสอบหรืออย่างน้อยงบภายใน 2-3 ปีล่าสุด
- สรุปรายรับ-รายจ่ายรายเดือนย้อนหลัง 6-12 เดือน
- รายการหนี้สินทั้งหมด: แบ่งตามเจ้าหนี้ ประเภทหนี้ (เงินกู้, บัตรเครดิต, เจ้าหนี้การค้า)
- รายการลูกหนี้การค้า: ใครค้างชำระเราอยู่เท่าไร และจ่ายช้าแค่ไหน
- รายการทรัพย์สิน: พร้อมมูลค่าประเมินโดยประมาณ เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร รถ และสต๊อกสินค้า
2) เอกสารกฎหมายและสัญญาที่เกี่ยวข้อง
นอกจากตัวเลข ทนายความจำเป็นต้องเห็นข้อผูกพันตามกฎหมายที่ธุรกิจมีอยู่ เพื่อประเมินความเสี่ยงในแต่ละสัญญา และดูว่าสัญญาใดควรเจรจาแก้ไขก่อน
- หนังสือสัญญากู้ยืม เงินกู้ ธนาคาร และสถาบันการเงินอื่น ๆ ทั้งฉบับ
- สัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญาจำนอง/จำนำ/หลักประกันธุรกิจ
- เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้อง คำพิพากษา หนังสือทวงถาม หรือคำบังคับคดี (ถ้ามี)
- หนังสือรับรองนิติบุคคล รายชื่อผู้ถือหุ้น หนังสือบริคณห์สนธิ ข้อบังคับบริษัท
- สัญญาสำคัญกับคู่ค้าหลัก เช่น สัญญาซัพพลายเออร์ สัญญาตัวแทนจำหน่าย
3) Checklist สั้น ๆ ก่อนพบทนายความฟื้นฟูกิจการ
การเตรียมตัวที่ดีช่วยประหยัดเวลาค่าที่ปรึกษา และทำให้การให้คำแนะนำมีคุณภาพมากขึ้น ลองใช้ Checklist นี้เป็นแนวทางเบื้องต้นได้
- รวบรวม Statement ธนาคารทุกบัญชี 6-12 เดือนล่าสุด
- จัดทำรายชื่อเจ้าหนี้ทั้งหมด พร้อมเบอร์ติดต่อและยอดหนี้
- เตรียมสำเนาสัญญากู้/เอกสารหลักประกันทั้งหมดที่มี
- สรุปปัญหาหลักของธุรกิจเป็นข้อ ๆ (เช่น ยอดขายตก, คู่ค้าหลักเลิกสั่ง, ต้นทุนพุ่ง)
- เตรียมคำถามที่กังวล เช่น ความเสี่ยงส่วนตัวของกรรมการ บ้านหรือทรัพย์สินส่วนตัวจะถูกยึดไหม
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ถ้าไม่มีงบการเงินตรวจสอบเลย ทนายความยังช่วยได้หรือไม่?
- จำเป็นต้องเปิดเผยทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดให้ทนายความรู้หรือไม่?
- เอกสารใดที่มัก "หาย" หรือหาไม่เจอ แล้วส่งผลเสียต่อการฟื้นฟูมากที่สุด?
บทบาทของศาลและผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ (Restructuring Advisor) ในไทย
เมื่อการฟื้นฟูกิจการเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ศาลล้มละลายกลางจะเป็นผู้พิจารณาว่าธุรกิจมีศักยภาพในการฟื้นฟูหรือไม่ และแต่งตั้งผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนมาดำเนินการแทนหรือร่วมกับผู้บริหารเดิม ในขณะที่ที่ปรึกษาฟื้นฟูเอกชนมักเข้ามาช่วยตั้งแต่ก่อนถึงศาล เพื่อออกแบบกลยุทธ์และแผนการเงิน
1) บทบาทของศาลล้มละลายกลางในคดีฟื้นฟูกิจการ
หากเจรจานอกศาลไม่สำเร็จ หรือหนี้มีขนาดใหญ่และเจ้าหนี้หลายราย การยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ศาลจะใช้ดุลยพินิจว่าธุรกิจยังมีโอกาสฟื้นหรือไม่ ก่อนมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ
- รับคำร้องฟื้นฟูกิจการจากลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย
- พิจารณาว่าลูกหนี้อยู่ในภาวะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่ยังมีโอกาสฟื้นฟู
- หากเห็นสมควร มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ และแต่งตั้งผู้ทำแผน
- พิจารณาและรับรองแผนฟื้นฟูกิจการที่เจ้าหนี้ลงมติอนุมัติ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลล้มละลายสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของ ศาลยุติธรรม หรือ ศาลล้มละลายกลาง ซึ่งมักมีคู่มือประชาชนและแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับคดีล้มละลายและฟื้นฟูกิจการให้ศึกษาเบื้องต้นได้
2) ผู้ทำแผนและผู้บริหารแผน (Plan Preparer / Plan Administrator)
เมื่อศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ศาลจะตั้ง "ผู้ทำแผน" ขึ้นมาจัดทำรายละเอียดแผนฟื้นฟู และเมื่อแผนได้รับอนุมัติ อาจแต่งตั้ง "ผู้บริหารแผน" มาบริหารธุรกิจตามแผนที่วางไว้ ซึ่งอาจเป็นบุคคลเดียวกันหรือคนละชุดก็ได้
- รวบรวมข้อมูลทรัพย์สิน หนี้สิน และศักยภาพการทำกำไรของกิจการ
- ออกแบบแผนปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การยืดหนี้ ลดหนี้ หรือขายทรัพย์สินบางส่วน
- วางแผนธุรกิจใหม่ (Business Turnaround) เช่น ปรับโมเดลธุรกิจ ลดสาขา ตัดธุรกิจขาดทุน
- รายงานความคืบหน้าแผนให้เจ้าหนี้และศาลทราบตามระยะเวลา
3) ที่ปรึกษาฟื้นฟูกิจการเอกชน (Restructuring Advisor)
ในทางปฏิบัติ SME หลายรายจะเริ่มทำงานกับที่ปรึกษาฟื้นฟูกิจการเอกชนหรือทีมทนายความก่อนยื่นเรื่องต่อศาล โดยที่ปรึกษาจะช่วย "เตรียมตัว" ให้ธุรกิจทั้งในแง่ข้อมูลและกลยุทธ์ เพื่อให้การเข้าสู่ศาล (ถ้าจำเป็น) มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
- ประเมินสถานะธุรกิจและวิเคราะห์ว่าควรเลือกฟื้นฟูแบบใด (นอกศาลหรือในศาล)
- ช่วยออกแบบข้อเสนอเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้รายสำคัญ
- จัดทำร่างแผนฟื้นฟูเบื้องต้น และจำลองกระแสเงินสดในอนาคต
- ให้คำแนะนำด้านกฎหมายควบคู่ด้านการเงิน เพื่อปกป้องสิทธิของผู้ถือหุ้นและกรรมการ
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- SME ขนาดเล็กจำเป็นต้องเข้าสู่ศาลล้มละลายกลางไหม หรือพอเจรจานอกศาล?
- ผู้ทำแผนจะเข้ามาแทนที่กรรมการเดิมทั้งหมดหรือไม่?
- เจ้าของกิจการยังมีสิทธิร่วมตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หลังเข้าสู่แผนฟื้นฟูหรือไม่?
คำแนะนำปฏิบัติสำหรับการประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษาการดำเนินธุรกิจระหว่างฟื้นฟู
ช่วงฟื้นฟูกิจการเป็นช่วงเปราะบาง ธุรกิจต้องเดินต่อให้ได้โดยใช้เงินสดอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันต้องรักษาลูกค้าและทีมงานหลักเอาไว้ คำแนะนำเชิงปฏิบัติบางส่วนสามารถเริ่มทำได้ทันที แม้จะยังไม่ได้ยื่นคำร้องหรือเริ่มเจรจากับเจ้าหนี้อย่างเป็นทางการ
1) จัดการกระแสเงินสดแบบ "Cash is King"
ในภาวะฟื้นฟู เป้าหมายไม่ใช่ "กำไรบัญชี" แต่คือ "กระแสเงินสดจริง" ที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอด การทำ Cash Flow รายสัปดาห์หรือรายเดือนอย่างเข้มข้นจึงสำคัญกว่าปกติ
- จัดลำดับความสำคัญของการจ่ายเงิน: เงินเดือนทีมหลัก, ค่าเช่า/ค่าสาธารณูปโภค, วัตถุดิบสำคัญ
- เลื่อนหรือขอผัดผ่อนค่าใช้จ่ายที่เจรจาได้ เช่น ค่าเช่าพื้นที่บางส่วน, ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น
- เร่งเก็บเงินจากลูกหนี้การค้า เสนอส่วนลดเล็กน้อยเพื่อแลกกับการชำระเร็ว
- หยุดการลงทุนใหม่ที่ไม่จำเป็น จนกว่าธุรกิจจะผ่านจุดวิกฤติ
2) ปรับโครงสร้างต้นทุนและโมเดลธุรกิจ
หลายกิจการที่ผ่านการฟื้นฟูสำเร็จ มักไม่ใช่เพราะ "รอดหนี้" อย่างเดียว แต่เพราะใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจให้เหมาะกับตลาดปัจจุบันมากขึ้น
- ทบทวนสินค้าหรือบริการที่ขาดทุนและพิจารณายุติ หรือลดความสำคัญลง
- ต่อรองเงื่อนไขกับซัพพลายเออร์รายหลัก เช่น ปรับปริมาณขั้นต่ำ ยืดเครดิตเทอม
- พิจารณาใช้ Outsource หรือฟรีแลนซ์ในงานที่ไม่ใช่ Core Business
- สำรวจช่องทางรายได้ใหม่ เช่น ออนไลน์ หรือคู่ค้ารายใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่รายเดียว
3) ควบคุมค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและที่ปรึกษา
ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายและที่ปรึกษาเป็นสิ่งจำเป็นแต่ควรบริหารอย่างมีแผน SME สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ หากเตรียมข้อมูลเองให้มาก และตกลงขอบเขตงานกับทนายความให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น
- เตรียมเอกสารและข้อมูลให้ครบ เพื่อลดเวลาที่ทนายต้องมานั่งตามข้อมูลย้อนหลัง
- สอบถามรูปแบบคิดค่าบริการให้ชัดเจน เช่น คิดเป็นรายชั่วโมง รายโครงการ หรือแบบเหมาจ่าย
- แบ่งงานเป็นเฟส เช่น เฟสประเมินสถานะและแผนเบื้องต้น, เฟสเจรจานอกศาล, เฟสดำเนินคดี (ถ้าจำเป็น)
- เลือกทีมที่มีประสบการณ์ด้านฟื้นฟูกิจการ SME โดยเฉพาะ ไม่ใช่เฉพาะทนายคดีแพ่งทั่วไป
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ควรเปิดเผยสถานะการฟื้นฟูต่อพนักงานและคู่ค้าแค่ไหน?
- จำเป็นไหมต้องลดคน หรือมีทางเลือกอื่นในการลดต้นทุน?
- จะรู้ได้อย่างไรว่าค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายที่จ่ายอยู่ "สมเหตุสมผล" กับขนาดธุรกิจ?
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟื้นฟูกิจการ SME ในไทย
มีความเชื่อผิด ๆ หลายประการที่ทำให้ SME เข้ากระบวนการฟื้นฟูช้าเกินไป หรือเลือกใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง การเข้าใจข้อเท็จจริงตามกฎหมายและแนวปฏิบัติจริง จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นและปกป้องธุรกิจได้มากกว่าเดิม
- เข้าใจผิดว่า "ฟื้นฟูกิจการ = ล้มละลายแล้ว"
แท้จริงแล้ว การฟื้นฟูกิจการเป็นเครื่องมือ "ก่อน" หรือ "แทน" การล้มละลายในหลายกรณี หากเริ่มใช้ตั้งแต่ยังพอมีศักยภาพปรับตัว ธุรกิจสามารถรอดและกลับมามีกำไรได้ โดยไม่ต้องถูกพิพากษาล้มละลาย - เชื่อว่าภาระหนี้ "หายหมด" เมื่อเข้าสู่ฟื้นฟู
กระบวนการฟื้นฟูไม่ใช่การลบหนี้ แต่เป็นการจัดโครงสร้างหนี้ใหม่ เช่น ลดบางส่วน ยืดระยะเวลา ปรับดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระได้จริง หากไม่ทำตามแผน เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิใช้มาตรการตามกฎหมายต่อไป - คิดว่าธุรกิจเล็กเกินไป ฟื้นฟูไม่ได้
แม้เงื่อนไขการยื่นฟื้นฟูกิจการในศาลจะมีเกณฑ์จำนวนหนี้ขั้นต่ำ แต่ในทางปฏิบัติ SME ขนาดเล็กยังสามารถใช้การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้นอกศาล และใช้บริการที่ปรึกษาฟื้นฟูเพื่อออกแบบทางออกที่เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของตนได้
FAQ: คำถามที่ SME มักถามเกี่ยวกับฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างหนี้
การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารจะกระทบเครดิตในอนาคตหรือไม่?
โดยทั่วไป การขอปรับโครงสร้างหนี้ย่อมมีผลต่อประวัติสินเชื่อ แต่ยังดีกว่าปล่อยให้หนี้เสียเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องและบังคับคดี ธนาคารหลายแห่งมองว่าลูกหนี้ที่ "กล้าเจรจาและทำตามแผน" มีความรับผิดชอบและมีโอกาสฟื้นมากกว่าลูกหนี้ที่นิ่งเฉยหรือหนีหนี้
ถ้าผม/ดิฉันเป็นกรรมการบริษัท จะมีความเสี่ยงส่วนตัวอะไรบ้างเมื่อธุรกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤติ?
หากหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของบริษัทที่มีนิติบุคคลแยกต่างหาก กรรมการจะรับผิดส่วนใหญ่ในฐานะตัวแทน หากไม่ได้มีการค้ำประกันส่วนบุคคลหรือทำการทุจริต อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ SME มักมีการค้ำประกันส่วนตัวกับธนาคาร ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวอาจได้รับผลกระทบ จึงควรให้ทนายความตรวจสอบเอกสารค้ำประกันทุกฉบับ
การฟื้นฟูกิจการใช้เวลานานแค่ไหน?
ถ้าเป็นการเจรจานอกศาล อาจใช้เวลาไม่กี่เดือนขึ้นกับจำนวนเจ้าหนี้และความซับซ้อนของหนี้ ส่วนการฟื้นฟูภายใต้คำสั่งศาลมักกินเวลาหลายปี เพราะต้องจัดทำแผน เสนอให้เจ้าหนี้ลงมติ และดำเนินการตามแผนพร้อมรายงานต่อศาลตามระยะเวลา
ควรหยุดจ่ายเจ้าหนี้ทั้งหมดก่อนแล้วค่อยเจรจาหรือไม่?
การหยุดจ่ายทันทีโดยไม่สื่อสารอาจทำให้ความสัมพันธ์กับเจ้าหนี้เสียหายและถูกดำเนินคดีเร็วขึ้น โดยทั่วไปควรจัดลำดับความสำคัญของการจ่าย และรีบแจ้งเจ้าหนี้รายสำคัญถึงปัญหา พร้อมขอเจรจาปรับเงื่อนไขโดยเร็ว ไม่ควรปล่อยให้เจ้าหนี้รู้จากการค้างชำระอย่างเดียว
จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาการเงินเพิ่มเติม นอกเหนือจากทนายความหรือไม่?
ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของธุรกิจ หากโครงสร้างหนี้และกระแสเงินสดไม่ซับซ้อน ทนายความที่คุ้นเคยงานฟื้นฟูกิจการ SME อาจเพียงพอ แต่ถ้ามีหนี้หลายชั้น หลายสกุลเงิน หรือต้องออกแบบแผนธุรกิจใหม่อย่างลึก ควรมีที่ปรึกษาด้านการเงินหรือที่ปรึกษาธุรกิจร่วมทีมด้วย
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความฟื้นฟูกิจการ?
หากคุณเริ่มรู้สึกว่าจ่ายดอกเบี้ยไม่ไหว มีเจ้าหนี้เริ่มทวงถามอย่างจริงจัง หรือได้รับหนังสือทวงถาม/คำฟ้อง นั่นคือสัญญาณชัดเจนว่าควรพบทนายความที่มีประสบการณ์ด้านฟื้นฟูกิจการ SME โดยไม่ต้องรอให้ถูกบังคับคดีหรือมีคำฟ้องล้มละลายก่อน
- เมื่อเริ่มมีการค้างชำระเกิน 3 เดือนต่อเนื่องกับธนาคารหรือเจ้าหนี้รายสำคัญ
- เมื่อได้รับหนังสือทวงถามจากฝ่ายกฎหมายหรือแจ้งเตือนจะฟ้องร้อง
- เมื่อพบว่าธุรกิจต้อง "หยิบเงินส่วนตัวของเจ้าของ" มาช่วยหมุนอย่างต่อเนื่อง
- เมื่อมีเจ้าหนี้หลายรายและยอดหนี้รวมสูงจนไม่รู้จะเจรจากับใครก่อน
ทนายความที่เข้าใจทั้งกฎหมายล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการจะช่วยคุณประเมินสถานการณ์ว่า ควรเริ่มจากการเจรจานอกศาล ปรับโครงสร้างหนี้แบบไม่เป็นทางการ หรือควรเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายกลาง รวมถึงช่วยปกป้องสิทธิส่วนตัวของกรรมการและผู้ถือหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่กฎหมายเปิดช่อง
ขั้นตอนต่อไปหากคุณกำลังพิจารณาฟื้นฟูกิจการ SME
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แสดงว่าคุณกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ไม่ง่าย และต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจ ขั้นตอนต่อไปควรเป็นการเปลี่ยน "ความกังวล" ให้เป็น "แผนปฏิบัติ" ที่เป็นรูปธรรม
- รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ตาม Checklist ในบทความนี้ภายใน 1-2 สัปดาห์
- นัดพบมืออาชีพ เช่น ทนายความด้านฟื้นฟูกิจการ SME พร้อมนำข้อมูลไปให้ประเมิน
- กำหนดกลยุทธ์ ว่าจะเริ่มจากเจรจานอกศาลกับเจ้าหนี้รายใดก่อน และวาง Timeline ชัดเจน
- สื่อสารภายใน กับหุ้นส่วนและทีมหลักให้เข้าใจสถานการณ์และเป้าหมายการฟื้นฟู
- ทบทวนและปรับแผน อย่างสม่ำเสมอ ตามผลการเจรจาและสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป
การฟื้นฟูกิจการไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ สำหรับ SME จำนวนไม่น้อย การยอมรับปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ และขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ คือจุดเริ่มต้นของการกลับมาแข็งแรงกว่าเดิม หากคุณพร้อมจะเริ่มก้าวแรก การพูดคุยกับทนายความที่คุ้นเคยงานฟื้นฟูกิจการในไทยจะช่วยให้ภาพทุกอย่างชัดเจนขึ้นอย่างมาก