- สัญญาธุรกิจในไทยที่รัดกุมควรครอบคลุม "ใคร-ทำอะไร-เมื่อไหร่-อย่างไร-และถ้ามีปัญหาแล้วจะทำอย่างไร" ให้ชัดเจนในทุกข้อ
- เงื่อนไขการชำระเงิน การค้ำประกัน และการประกันความรับผิด คือหัวใจสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านกระแสเงินสดและหนี้เสียสำหรับธุรกิจ
- ข้อกำหนดการสิ้นสุดสัญญา (termination) และค่าปรับ ต้องเขียนให้ชัดว่าใครยกเลิกได้เมื่อใด อย่างไร และผลทางการเงินคืออะไร
- การเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับและเขตอำนาจศาลมีผลต่อ "โอกาสชนะคดี-ระยะเวลา-ค่าใช้จ่าย" หากมีคู่สัญญาต่างชาติหรือธุรกรรมข้ามพรมแดน
- การใช้เช็คลิสต์ตรวจสัญญาก่อนลงนามช่วยให้ธุรกิจ SMEs และสตาร์ทอัพลดช่องโหว่ที่มักถูกมองข้าม เช่น เงื่อนไขเปลี่ยนราคา การไม่แข่งขัน และการรักษาความลับ
- สำหรับสัญญาที่มีมูลค่าสูง ความซับซ้อน หรือคู่สัญญาต่างชาติ การให้ทนายความช่วยร่าง/รีวิวสัญญาในกฎหมายไทยมักมีต้นทุนต่ำกว่าค่าความเสียหายจากข้อพิพาทในอนาคต
ร่างสัญญาธุรกิจในไทยคืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อการป้องกันความเสี่ยง?
ร่างสัญญาธุรกิจในไทยคือการกำหนดข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างคู่สัญญา เพื่อกำหนดสิทธิ หน้าที่ ความรับผิด และวิธีจัดการเมื่อมีปัญหา ตามกฎหมายไทย (โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) สัญญาที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันข้อพิพาท ลดความเสี่ยงทางการเงิน และเพิ่มโอกาสบังคับใช้สิทธิได้จริงเมื่อเกิดปัญหา. สำหรับธุรกิจ B2B สัญญาที่ดีจึงไม่ใช่แค่เอกสารประกอบการขาย แต่เป็น "เครื่องมือบริหารความเสี่ยง" ที่สำคัญมาก.
การร่างสัญญาธุรกิจในไทยควรคำนึงถึงทั้งข้อกำหนดตามกฎหมายและบริบทการทำธุรกิจจริง เช่น ความน่าเชื่อถือของคู่ค้า โครงสร้างการชำระเงิน ความเสี่ยงในการส่งมอบสินค้า/บริการ และการบังคับใช้สิทธิในศาลไทย. สำหรับธุรกิจที่ทำงานกับคู่ค้าต่างชาติ ยังอาจต้องคิดถึงการเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับ (governing law clause) และเขตอำนาจศาล หรืออนุญาโตตุลาการควบคู่ไปด้วย.
ข้อกำหนดพื้นฐานที่ต้องมีในสัญญาเชิงพาณิชย์ไทยมีอะไรบ้าง?
ข้อกำหนดพื้นฐานของสัญญาเชิงพาณิชย์ไทยควรตอบให้ครบว่า "ใคร - ทำอะไร - เมื่อไหร่ - ที่ไหน - อย่างไร - และหากไม่ทำหรือทำผิดจะเกิดอะไรขึ้น". โดยทั่วไปโครงสร้างสัญญาธุรกิจที่ดีจะมีส่วนสำคัญ เช่น ข้อมูลคู่สัญญา วัตถุประสงค์และขอบเขตงาน ราคาและเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาสัญญา สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การรักษาความลับ และข้อกำหนดกรณีผิดสัญญา. การเขียนให้ชัดในทุกส่วนช่วยลดการตีความต่างกันและลดโอกาสเกิดข้อพิพาทในอนาคต.
สำหรับกฎหมายไทย สัญญาอาจทำเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ในหลายกรณี แต่ในบริบทธุรกิจ การทำเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนจะช่วยพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ดีหากเกิดข้อพิพาทและต้องขึ้นศาล. นอกจากนี้ บางสัญญามีข้อกำหนดพิเศษ เช่น ต้องปิดอากรแสตมป์ หรือต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ ธุรกิจจึงควรตรวจสอบให้ครบถ้วนตั้งแต่ก่อนลงนาม.
| หัวข้อหลักในสัญญาธุรกิจ | คำอธิบายเชิงปฏิบัติ | ตัวอย่างประเด็นที่ควรเขียนให้ชัด |
|---|---|---|
| ข้อมูลคู่สัญญา | ระบุชื่อบริษัท เลขทะเบียน ที่อยู่ ผู้มีอำนาจลงนาม | หากเป็นบริษัทจำกัด/มหาชน ระบุเลขนิติบุคคล และแนบหนังสือรับรองนิติบุคคลล่าสุด |
| คำนิยาม (Definitions) | กำหนดความหมายคำสำคัญเพื่อลดการตีความต่างกัน | คำว่า "สินค้า", "บริการ", "ความลับทางการค้า", "วันทำการ" |
| วัตถุประสงค์และขอบเขตงาน | บอกให้ชัดว่าจ้างอะไร ส่งมอบอะไร ขอบเขตแค่ไหน | รายละเอียดงาน รายการสินค้า ข้อจำกัดสิ่งที่ไม่รวมอยู่ในงาน |
| ราคาและค่าตอบแทน | ระบุราคา โครงสร้างส่วนลด ภาษี และวิธีเปลี่ยนราคา | ระบุว่าราคารวม VAT หรือไม่, เงื่อนไขปรับราคาเมื่อมีต้นทุนเปลี่ยน |
| ระยะเวลาสัญญา | วันที่เริ่มต้น วันสิ้นสุด เงื่อนไขต่ออายุ | ต่ออัตโนมัติหรือไม่ ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วันหากไม่ต่อ |
| สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา | กำหนดชัดว่างานที่สร้างขึ้นเป็นของใคร | ซอฟต์แวร์ ดีไซน์ โลโก้ เนื้อหาโฆษณา |
| การรักษาความลับ | ห้ามเปิดเผยข้อมูลเชิงธุรกิจ/เทคนิค | ขอบเขตข้อมูลลับ ระยะเวลาผูกพันหลังหมดสัญญา |
| ข้อห้ามและข้อจำกัดความรับผิด | กำหนดสิ่งที่ห้ามทำ และจำกัดเพดานความรับผิด | ห้ามแข่งขัน ห้ามว่าจ้างพนักงานกันเอง วงเงินชดใช้สูงสุด |
| ข้อกำหนดกรณีผิดสัญญา | กำหนดว่าหากผิดสัญญาจะจัดการอย่างไร | ค่าปรับ ดอกเบี้ยผิดนัด สิทธิเลิกสัญญา |
| กฎหมายที่ใช้บังคับและศาล | เลือกกฎหมายและเขตอำนาจศาลที่ใช้หากมีข้อพิพาท | กฎหมายไทย ศาลไทย หรืออนุญาโตตุลาการ |
คำถามติดตามที่ควรถามต่อ
- สัญญาธุรกิจประเภทใดในไทยที่ควรให้ทนายช่วยร่างตั้งแต่ต้นมากที่สุด (เช่น สัญญาร่วมลงทุน สัญญา JV)?
- มีเงื่อนไขใดบ้างที่ "ผิดกฎหมาย" แม้คู่สัญญาจะยินยอม เช่น ข้อสละสิทธิฟ้องคดีบางประเภท?
จะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน การค้ำประกัน และการประกันความรับผิดอย่างไรให้รัดกุม?
เงื่อนไขการชำระเงินที่รัดกุมในสัญญาไทยควรกำหนดให้ครบทั้ง "จำนวนเงิน เงื่อนไขจ่าย ดอกเบี้ยผิดนัด หลักประกัน และการหักกลบลบหนี้ได้หรือไม่". สำหรับธุรกิจ B2B การมีหลักประกัน (เช่น เงินมัดจำ หนังสือค้ำประกันธนาคาร) และข้อกำหนดเรื่องการประกันความรับผิด (liability & indemnity) จะช่วยลดความเสี่ยงเมื่ออีกฝ่ายผิดสัญญาหรือมีความเสียหายต่อบุคคลที่สาม. การกำหนดเงื่อนไขเหล่านี้อย่างชัดเจนและสมเหตุสมผลเป็นหนึ่งในจุดที่ควรให้ทนายความช่วยตรวจอย่างละเอียด.
ภายใต้กฎหมายไทย คู่สัญญาโดยทั่วไปสามารถตกลงเรื่องดอกเบี้ยผิดนัด ค่าปรับ และวิธีประกันความรับผิดได้ภายในกรอบที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี. อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดที่โหดร้ายเกินสมควรหรือทำให้คู่สัญญาอีกฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม อาจถูกศาลตีความลดลงหรือไม่รับบังคับได้. ธุรกิจจึงควรเขียนให้สมดุล ระหว่างการปกป้องสิทธิของตน และไม่สร้างภาระเกินสมควรต่อคู่ค้า.
1. เงื่อนไขการชำระเงิน (Payment Terms)
- ระบุยอดเงินให้ชัดเจน พร้อมสกุลเงิน (เช่น บาทไทย, ดอลลาร์สหรัฐ)
- ระบุว่า "ราคานี้รวม/ไม่รวม VAT และภาษีอื่น" เพื่อป้องกันการโต้แย้งภายหลัง
- กำหนดกำหนดชำระ (เช่น ภายใน 30 วันนับจากวันได้รับใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้อง)
- ระบุเอกสารประกอบการชำระเงิน เช่น ใบแจ้งหนี้ ต้นฉบับใบกำกับภาษี ใบส่งของ
- กำหนดวิธีการชำระ (โอนบัญชี ระบุธนาคาร เลขบัญชี ชื่อผู้รับเงิน)
- กำหนดสิทธิการหักกลบลบหนี้ (set-off) ว่าอนุญาตหรือไม่ และในกรณีใด
2. ดอกเบี้ยผิดนัดและค่าปรับล่าช้า
- กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัด เมื่อผิดนัดชำระ เช่น ร้อยละต่อปีนับจากวันครบกำหนด
- ระบุวิธีคำนวณที่ชัดเจน (คำนวณรายวันหรือรายเดือน)
- หากมีค่าปรับรายวัน/รายงวด (liquidated damages) ให้เขียนให้ชัดว่า "ต่อวัน ต่อครั้ง หรือเพดานสูงสุดเท่าใด"
- ควรหลีกเลี่ยงค่าปรับที่สูงเกินจริงเมื่อเทียบกับความเสียหาย เพราะศาลอาจปรับลดได้
3. การค้ำประกันและหลักประกัน (Security & Guarantee)
- เงินมัดจำ/เงินประกันผลงาน (performance bond) - ระบุจำนวน เงื่อนไขการยึดคืนและการคืนเงินประกัน
- หนังสือค้ำประกันของธนาคาร - ระบุธนาคาร วงเงิน ระยะเวลา เงื่อนไขการเรียกชำระ
- การค้ำประกันโดยกรรมการ/บุคคลธรรมดา - ควรมีสัญญาค้ำประกันแยกเป็นหนังสือชัดเจน และอาจต้องปิดอากรแสตมป์
- จำนองหรือจำนำทรัพย์สิน - ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะด้าน และในบางกรณีต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ
4. การประกันความรับผิด (Indemnity & Liability)
- กำหนดว่า "ฝ่ายใดจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ประเภทใด และในกรณีใด" เช่น ความเสียหายต่อบุคคลที่สามจากการใช้สินค้า
- กำหนดข้อจำกัดความรับผิด (limitation of liability) เช่น วงเงินไม่เกินมูลค่าสัญญาในรอบ 12 เดือนล่าสุด ยกเว้นในกรณีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
- อาจกำหนดการบังคับทำประกันภัยบางประเภท เช่น ประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สาม และให้แสดงกรมธรรม์เป็นหลักฐาน
- ระบุขั้นตอนการแจ้งเคลม เช่น ต้องแจ้งภายในกี่วันนับจากพบเหตุ และส่งมอบเอกสารประกอบใดบ้าง
คำถามติดตามที่ควรถามต่อ
- ธุรกิจควรกำหนดเพดานความรับผิดของคู่สัญญาไว้ที่ระดับใดจึงจะ "สมดุล" ทั้งคู่ค้าและตนเอง?
- กรณีมีคู่สัญญาต่างชาติ การกำหนดเงื่อนไขชำระเงินและสกุลเงินมีข้อควรระวังเพิ่มเติมอะไรบ้าง (อัตราแลกเปลี่ยน กฎหมายควบคุมเงินตรา)?
ข้อกำหนดการสิ้นสุดสัญญาและการกำหนดค่าปรับควรเขียนอย่างไร?
ข้อกำหนดการสิ้นสุดสัญญาที่ดีควรระบุชัดว่า "ใครสามารถเลิกสัญญาได้ เมื่อใด ด้วยเหตุใด ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน และผลของการเลิกสัญญาคืออะไร". การกำหนดค่าปรับและผลทางการเงินกรณีเลิกสัญญา (เช่น ยึดมัดจำ ชดเชยค่าเสียหาย) ต้องเขียนให้แน่นอนและสมเหตุสมผลเพื่อให้มีโอกาสบังคับใช้ตามกฎหมายไทยได้จริง. หากไม่เขียนให้ละเอียด ธุรกิจอาจเจอปัญหาที่ยุ่งยาก เช่น เลิกสัญญาไม่ได้แม้คู่ค้าทำงานช้า หรือไม่สามารถเรียกค่าเสียหายได้เต็มที่.
ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คู่สัญญาสามารถตกลงสิทธิเลิกสัญญาและค่าปรับได้ แต่ศาลมีอำนาจลดค่าปรับที่เกินควรตามพฤติการณ์แห่งคดี. ดังนั้น การกำหนดเงื่อนไขให้สมดุล และมีความเชื่อมโยงกับความเสียหายที่แท้จริง จะช่วยลดความเสี่ยงที่ศาลจะปรับลดลงมากเกินไป หากมีการฟ้องร้องในอนาคต.
1. ประเภทของการสิ้นสุดสัญญาที่ควรกำหนด
- สิ้นสุดโดยระยะเวลา - สัญญาหมดอายุเมื่อครบกำหนด เช่น 1 ปี นับจากวันลงนาม
- ต่ออายุอัตโนมัติ - หากไม่มีฝ่ายใดแจ้งยกเลิกภายในระยะเวลาหนึ่ง สัญญาจะต่ออายุโดยอัตโนมัติ
- สิ้นสุดโดยการเลิกสัญญาโดยสมัครใจ - คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายสามารถเลิกสัญญาได้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ โดยแจ้งล่วงหน้า
- สิ้นสุดจากการผิดสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ - เมื่ออีกฝ่ายผิดสัญญาในสาระสำคัญ (material breach) เช่น ไม่ชำระเงิน ไม่ส่งมอบงาน
- สิ้นสุดจากเหตุสุดวิสัย - หากมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ เช่น ภัยธรรมชาติ มาตรการของรัฐบางประเภท
- สิ้นสุดจากการล้มละลายหรือเลิกกิจการ - หากอีกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหรือเลิกกิจการ
2. องค์ประกอบที่ควรมีในข้อกำหนดการเลิกสัญญา
- นิยาม "การผิดสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ" ให้ชัด เช่น ผิดนัดชำระเงินเกิน 30 วัน
- ขั้นตอนการ "แจ้งเตือนให้แก้ไข" (cure period) เช่น ต้องให้เวลาอีกฝ่ายแก้ไขภายใน 15 วันก่อนมีสิทธิเลิกสัญญา
- วิธีแจ้งเลิกสัญญา เช่น ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรทางไปรษณีย์ลงทะเบียน/อีเมลทางการ
- กำหนดวันมีผลเลิกสัญญาอย่างชัดเจน เช่น มีผลทันทีเมื่อครบกำหนดแจ้งล่วงหน้า
3. การกำหนดค่าปรับและผลของการเลิกสัญญา
- กำหนดค่าปรับกรณีส่งมอบล่าช้า/งานไม่เป็นไปตามสเปก โดยควรผูกกับมูลค่าความเสียหายที่คาดหมายได้
- ระบุการคืน/ยึดเงินมัดจำหรือเงินประกันผลงานเมื่อมีการเลิกสัญญา
- กำหนดการส่งคืนทรัพย์สินและข้อมูล เช่น ซอร์สโค้ด เอกสาร ข้อมูลลูกค้า
- กำหนดว่าข้อกำหนดบางข้อ "ยังคงมีผลต่อไปหลังเลิกสัญญา" เช่น การรักษาความลับ ข้อห้ามแข่งขัน การชำระเงินค้างจ่าย
คำถามติดตามที่ควรถามต่อ
- ศาลไทยมีแนวโน้มอย่างไรในการตีความค่าปรับที่กำหนดไว้สูงกว่าความเสียหายจริง?
- ธุรกิจควรใช้ข้อกำหนด "termination for convenience" (เลิกได้ตามอำเภอใจด้วยเหตุผลทางธุรกิจ) ในกรณีใดบ้าง?
ควรเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับและเขตอำนาจศาลอย่างไรในสัญญาธุรกิจไทย?
หากคู่สัญญาอยู่ในไทยทั้งสองฝ่าย การกำหนดให้ "กฎหมายไทย" เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับ และ "ศาลไทย" เป็นศาลที่มีเขตอำนาจ มักเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนที่สุด. แต่หากมีคู่สัญญาต่างชาติ หรือธุรกรรมข้ามพรมแดน ธุรกิจควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าควรเลือกกฎหมายใด ศาลใด หรือใช้อนุญาโตตุลาการ ซึ่งมีผลต่อระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และโอกาสบังคับคดีในต่างประเทศ. การเลือกผิดหรือไม่คิดให้รอบด้าน อาจทำให้แม้ชนะคดีแต่บังคับใช้คำพิพากษาได้ยาก.
โดยหลักแล้ว กฎหมายไทยเปิดโอกาสให้คู่สัญญาเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับและศาลที่มีเขตอำนาจได้ในระดับหนึ่ง ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎระเบียบบังคับเด็ดขาดของไทย (mandatory rules). อย่างไรก็ตาม บางเรื่อง เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายแข่งขันทางการค้า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อาจมีข้อจำกัดที่คู่สัญญาไม่สามารถตกลงขัดกับกฎหมายได้. ธุรกิจจึงควรให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินโดยเฉพาะในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศหรือมีมูลค่าสูง.
1. ตัวเลือกทั่วไปในการกำหนดกฎหมายและศาล
- กฎหมายไทย + ศาลไทย
- กฎหมายต่างประเทศ (เช่น กฎหมายอังกฤษ) + ศาลต่างประเทศ
- กฎหมายไทย/ต่างประเทศ + อนุญาโตตุลาการ (เช่น สถาบันอนุญาโตตุลาการในไทย หรือในต่างประเทศ)
2. เกณฑ์ในการตัดสินใจสำหรับธุรกิจ
- สถานที่ตั้งทรัพย์สินของคู่สัญญา - หากทรัพย์สินส่วนใหญ่อยู่ในไทย การเลือกศาลไทยอาจทำให้การบังคับคดีทำได้ง่ายกว่า
- ความคุ้นเคยของทนายความ - กฎหมายและขั้นตอนของศาลไทยจะถูกอธิบายโดยทนายไทยได้อย่างคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี
- ความเป็นกลาง - ในดีลข้ามชาติ คู่สัญญาอาจตกลงใช้กฎหมายของประเทศที่สาม หรืออนุญาโตตุลาการ เพื่อรักษาความเป็นกลาง
- ต้นทุนและระยะเวลา - การฟ้องศาลต่างประเทศอาจใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก
3. ข้อบังคับที่ควรระวัง
- สัญญาบางประเภทเกี่ยวข้องกับกฎหมายเฉพาะ เช่น กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งมีข้อจำกัดเพิ่มเติม
- เรื่องแรงงานและคุ้มครองผู้บริโภค มักมีบทบัญญัติคุ้มครองฝ่ายอ่อนแอที่ไม่สามารถตัดสิทธิได้ด้วยสัญญา
- แม้จะเลือกกฎหมายต่างประเทศ แต่การบังคับใช้ในไทยต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
สำหรับรายละเอียดตัวบทกฎหมายพื้นฐาน ธุรกิจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ราชการ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เว็บไซต์ www.krisdika.go.th และข้อมูลเกี่ยวกับศาลยุติธรรมไทยที่เว็บไซต์ www.coj.go.th.
คำถามติดตามที่ควรถามต่อ
- ในกรณีมีคู่สัญญาต่างชาติ ธุรกิจไทยควรเลือกใช้ศาลไทยหรืออนุญาโตตุลาการเป็นหลัก?
- การทำคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการสามารถนำมาบังคับคดีในไทยได้อย่างไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?
เช็คลิสต์การตรวจสัญญาก่อนลงนามเพื่อป้องกันความเสี่ยงมีอะไรบ้าง?
ก่อนลงนามสัญญาธุรกิจในไทย ธุรกิจควรใช้เช็คลิสต์ตรวจดูทั้ง "ความถูกต้องทางกฎหมาย" และ "ความคุ้มค่าทางธุรกิจ". เช็คลิสต์ที่ดีควรถามตัวเองว่า เข้าใจความเสี่ยงทุกข้อแล้วหรือยัง เงื่อนไขไหนที่รับไม่ได้ มีช่องโหว่ด้านการชำระเงินหรือการเลิกสัญญาหรือไม่ และถ้าอีกฝ่ายผิดสัญญา เรามีเครื่องมือบังคับใช้สิทธิอย่างไร. การตรวจด้วยเช็คลิสต์ช่วยให้ทีมธุรกิจ ทีมการเงิน และฝ่ายกฎหมายทำงานร่วมกันได้มีระบบมากขึ้น.
สำหรับธุรกิจ SMEs และสตาร์ทอัพ การมี "เทมเพลตเช็คลิสต์ตรวจสัญญา" เป็นเอกสารภายในองค์กร จะช่วยลดการพลาดจุดสำคัญ โดยเฉพาะในดีลที่ไม่มีทนายความเข้าไปรีวิวแบบละเอียดทุกครั้ง. แต่สำหรับสัญญาที่มีมูลค่า/ความเสี่ยงสูง การให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจทานเพิ่มเติมก็ยังคงสำคัญ.
เช็คลิสต์การตรวจสัญญาธุรกิจก่อนลงนาม
- ข้อมูลคู่สัญญา
- ชื่อบริษัท/บุคคลถูกต้องตามทะเบียนหรือไม่
- ผู้ลงนามมีอำนาจลงนามตามหนังสือรับรองนิติบุคคลหรือไม่
- ที่อยู่สำหรับการติดต่อและการส่งหนังสือแจ้งถูกต้อง
- ขอบเขตงานและข้อผูกพัน
- เราเข้าใจขอบเขตงาน/สินค้า/บริการชัดเจนหรือไม่
- มีสิ่งใดที่ "คิดว่าได้" แต่ไม่ได้เขียนในสัญญาหรือไม่
- มี SLA หรือมาตรฐานงานที่ชัดเจนหรือไม่ (เช่น ระยะตอบสนอง ระบบต้องออนไลน์กี่เปอร์เซ็นต์)
- ราคา เงื่อนไขชำระ และต้นทุนแฝง
- ระบุว่าราคารวม VAT และภาษีอื่นหรือไม่
- กำหนดระยะเวลาเครดิตเทอม และดอกเบี้ยผิดนัดชัดเจนหรือไม่
- มีค่าบริการแฝง เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าอัปเกรดระบบ หรือไม่
- ระยะเวลาสัญญาและการต่ออายุ
- รู้หรือไม่ว่าสัญญาจะต่ออายุอัตโนมัติหรือไม่
- หากไม่ต้องการต่ออายุ ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน
- มีค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนดหรือไม่
- สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูล
- งานที่สร้างขึ้นเป็นของใคร (บริษัทเรา อีกฝ่าย หรือร่วมกัน)
- คู่สัญญามีสิทธิใช้/แก้ไข/โอนสิทธิให้บุคคลที่สามหรือไม่
- มีข้อจำกัดในการใช้ข้อมูลลูกค้าหรือไม่
- ข้อจำกัดและข้อห้าม (เช่น ไม่แข่งขัน)
- มีข้อห้ามไม่แข่งขัน (non-compete) หรือห้ามรับพนักงานกันเองหรือไม่
- ข้อจำกัดเหล่านี้อยู่ได้นานเท่าใด หลังหมดสัญญา
- การรักษาความลับและความปลอดภัยข้อมูล
- นิยาม "ข้อมูลลับ" ครอบคลุมพอหรือไม่
- มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลอยู่ในระดับที่เรายอมรับได้หรือไม่
- มีข้อกำหนดพิเศษสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหรือไม่
- การเลิกสัญญาและค่าปรับ
- เราเลิกสัญญาได้เมื่อใด และอีกฝ่ายเลิกได้เมื่อใด
- มีค่าปรับหรือค่าชดเชยใดเมื่อเลิกก่อนกำหนด
- มีขั้นตอนการแจ้งเตือนก่อนเลิกสัญญาหรือไม่
- การระงับข้อพิพาท
- มีขั้นตอนการเจรจาไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องศาลหรือไม่
- ใช้กฎหมายใด ศาลใด หรืออนุญาโตตุลาการ
- ภาระผูกพันหลังสิ้นสุดสัญญา
- ต้องคืน/ทำลายข้อมูลหรือทรัพย์สินใดบ้าง
- ข้อกำหนดใดที่ยังมีผลต่อไปหลังหมดสัญญา (เช่น ความลับ ห้ามแข่งขัน)
คำถามติดตามที่ควรถามต่อ
- ธุรกิจควรออกแบบ "กระบวนการอนุมัติสัญญาภายใน" อย่างไร เพื่อให้ทุกดีลผ่านการตรวจในระดับที่เหมาะสม?
- ควรใช้เทมเพลตสัญญากลางของบริษัทในกรณีใด และควรยอมใช้สัญญาของคู่ค้าในกรณีใด?
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับสัญญาธุรกิจในไทย
หลายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ทอัพ มักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสัญญาที่ทำให้รับความเสี่ยงเกินจำเป็น. ความเชื่อผิดๆ เช่น "โหลดสัญญาจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ได้เลย" หรือ "ตกลงกันปากเปล่าก็พอ" อาจทำให้เมื่อเกิดข้อพิพาท บริษัทไม่มีหลักฐานหรือมีสัญญาที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายไทยและบริบทธุรกิจจริง. การเข้าใจข้อจำกัดเหล่านี้และปรับแนวทางให้เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายได้มาก.
ตัวอย่างความเข้าใจผิดสำคัญ
- เข้าใจว่าข้อตกลงปากเปล่าไม่มีผลทางกฎหมาย
จริงๆ แล้วสัญญาโดยทั่วไปภายใต้กฎหมายไทยสามารถทำด้วยวาจาได้และมีผลผูกพัน แต่ปัญหาคือ "พิสูจน์ยาก" เมื่อมีข้อพิพาท. สำหรับธุรกิจ B2B จึงควรทำสัญญาเป็นหนังสือแทบทุกครั้ง. - คิดว่าใช้เทมเพลตสัญญาจากต่างประเทศได้เลย
สัญญาแบบอังกฤษ/อเมริกันอาจไม่สอดคล้องกับโครงสร้างกฎหมายไทย และอาจมีข้อกำหนดที่ใช้ไม่ได้ในไทย หรือขัดต่อกฎหมายบังคับบางประการ. - ไม่สนใจรายละเอียดเรื่องค่าปรับและเขตศาล
หลายธุรกิจยอมรับเงื่อนไขค่าปรับสูงมากหรือศาลต่างประเทศ โดยมองว่า "ไม่น่ามีวันได้ใช้". แต่เมื่อเกิดปัญหาจริง เงื่อนไขเหล่านี้อาจสร้างภาระมหาศาลหรือทำให้บังคับสิทธิได้ยากมาก.
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการร่างสัญญาธุรกิจในไทย
ต้องจดทะเบียนสัญญากับหน่วยงานรัฐทุกฉบับหรือไม่?
ไม่จำเป็น สัญญาธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ต้องจดทะเบียน แต่บางประเภท เช่น สัญญาจำนองอสังหาริมทรัพย์ สัญญาเช่าที่ดินระยะยาว จะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายเฉพาะ. อย่างไรก็ตาม สัญญาบางฉบับอาจมีภาระเรื่องอากรแสตมป์ซึ่งควรตรวจสอบกับกฎหมายอากรของกรมสรรพากร.
จำเป็นต้องมีพยานลงนามในสัญญาทุกฉบับหรือไม่?
ไม่ใช่ทุกสัญญาจะต้องมีพยานจึงจะมีผล แต่การมีพยานลงนามช่วยเพิ่มน้ำหนักในการพิสูจน์ในศาลได้. ในบางกรณี เช่น สัญญาค้ำประกัน ควรทำเป็นหนังสือและมีการลงลายมือชื่อให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด.
สัญญาภาษาอังกฤษใช้ได้จริงในศาลไทยหรือไม่?
โดยหลักแล้วคู่สัญญาสามารถทำสัญญาภาษาอังกฤษได้ แต่หากมีข้อพิพาทในศาลไทย อาจต้องจัดทำคำแปลภาษาไทยอย่างเป็นทางการเพื่อใช้ในการพิจารณาคดี. หากสัญญามีทั้งฉบับภาษาไทยและอังกฤษ ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าฉบับใดจะใช้บังคับเป็นหลักเมื่อมีความขัดแย้งกัน.
ควรใช้สัญญากลางของคู่ค้าหรือของบริษัทเราดี?
ในทางปฏิบัติ ธุรกิจขนาดเล็กมักจำต้องใช้สัญญาของคู่ค้ารายใหญ่ แต่ก็ควรให้ฝ่ายกฎหมายหรือทนายช่วยตรวจและเจรจาแก้ไขข้อหลักๆ ที่มีความเสี่ยงสูง. หากดีลใหญ่หรือมีความเสี่ยงสูง การยืนยันใช้เทมเพลตของบริษัทเองหรืออย่างน้อยใช้เป็นฐานในการเจรจาก็จะได้เปรียบมากขึ้น.
ค่าทนายในการร่าง/รีวิวสัญญาธุรกิจในไทยประมาณเท่าใด?
ค่าทนายแตกต่างกันตามความซับซ้อนของสัญญา มูลค่าธุรกรรม และชื่อเสียงของสำนักงานกฎหมาย. สำหรับสัญญาทั่วไปของ SMEs มักอยู่ในระดับที่คุ้มค่ากับการป้องกันความเสียหายหลักแสนถึงหลักล้านบาทที่อาจเกิดขึ้นจากสัญญาที่ไม่รัดกุม.
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความช่วยร่างหรือทบทวนสัญญา?
ธุรกิจควรพิจารณาจ้างทนายความช่วยร่างหรือรีวิวสัญญาเมื่อสัญญามี "มูลค่าสูง ความซับซ้อนสูง หรือคู่สัญญาต่างชาติ". หากสัญญาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินมูลค่าสูง การร่วมลงทุน หุ้น หรือเทคโนโลยีที่สำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยออกแบบโครงสร้างข้อตกลงจะช่วยลดความเสี่ยงระยะยาวได้มาก. นอกจากนี้ หากคู่สัญญาเสนอร่างสัญญาที่ซับซ้อน มีศัพท์กฎหมายจำนวนมาก หรือมาจากประเทศอื่น การให้ทนายช่วยอธิบายความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญ.
- ดีลมูลค่าสูง เช่น การซื้อขายสินทรัพย์ครั้งใหญ่ สัญญาเช่าระยะยาว สัญญา JV หรือ M&A
- สัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา แบรนด์ หรือเทคโนโลยีสำคัญของธุรกิจ
- กรณีที่คู่สัญญาใช้ "สัญญามาตรฐานของตนเอง" ที่ให้เราเป็นฝ่ายรับความเสี่ยงส่วนใหญ่
- กรณีมีข้อกังวลว่าจะมีข้อพิพาท เช่น โปรเจ็กต์ที่ต้องส่งมอบหลายเฟส มีตัวชี้วัดผลงาน (KPI/SLA) ซับซ้อน
ในทางปฏิบัติ ธุรกิจอาจกำหนดเกณฑ์ภายใน เช่น ดีลใดที่มีมูลค่าเกินจำนวนหนึ่ง หรือประเภทสัญญาใดบ้าง ที่ "ต้องผ่านการรีวิวโดยทนาย" ก่อนลงนามเสมอ. การใช้แพลตฟอร์มกฎหมายที่น่าเชื่อถือเช่น Lawzana ช่วยให้ค้นหาทนายที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านสัญญาธุรกิจไทยได้ง่ายขึ้น และสามารถขอใบเสนอราคาล่วงหน้าเพื่อนำไปเปรียบเทียบได้.
ขั้นตอนต่อไป: วางระบบสัญญาธุรกิจของคุณให้ปลอดภัยมากขึ้น
การมีสัญญาธุรกิจที่รัดกุมไม่ใช่เรื่องของเอกสารฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่เป็น "ระบบการจัดการสัญญา" ของทั้งองค์กร. ขั้นตอนต่อไปที่ธุรกิจสามารถเริ่มได้ทันที คือจัดทำเทมเพลตพื้นฐาน ปรับใช้เช็คลิสต์ตรวจสัญญา และกำหนดเกณฑ์ชัดเจนว่าดีลใดต้องปรึกษาทนาย. เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น การลงทุนในกระบวนการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากข้อพิพาทและรักษาความสัมพันธ์กับคู่ค้าได้ดียิ่งขึ้น.
- จัดทำหรือปรับปรุง "เทมเพลตสัญญามาตรฐาน" ของบริษัท (เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาให้บริการ สัญญา NDA)
- นำเช็คลิสต์ตรวจสัญญาที่กล่าวถึงไปปรับใช้เป็นเอกสารภายในองค์กร
- กำหนดขั้นตอนอนุมัติสัญญาก่อนลงนาม เช่น ต้องได้รับอนุมัติจากฝ่ายการเงิน ฝ่ายกฎหมาย ผู้บริหาร ตามวงเงินดีล
- กำหนดเกณฑ์เมื่อใดที่ต้องใช้ทนายภายนอกช่วยรีวิว เช่น ดีลเกินมูลค่าหนึ่ง หรือต่างประเทศเกี่ยวข้อง
- จัดเก็บสัญญาอย่างเป็นระบบ (ทั้งไฟล์และต้นฉบับกระดาษ) พร้อมระบบแจ้งเตือนวันหมดอายุ/ต่ออายุสัญญา
หากคุณต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงในสัญญาธุรกิจที่กำลังจะลงนาม การค้นหาทนายความที่มีประสบการณ์ด้านสัญญาเชิงพาณิชย์ไทยผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Lawzana จะช่วยให้คุณเปรียบเทียบผู้เชี่ยวชาญ งบประมาณ และเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับธุรกิจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น.