ทำสัญญาธุรกิจอย่างไรไม่เสียเปรียบ ใน Thailand มีอะไรต้องระวัง

อัปเดตเมื่อ Dec 10, 2025
  • สัญญาธุรกิจในไทยที่รัดกุมควรครอบคลุม "ใคร-ทำอะไร-เมื่อไหร่-อย่างไร-และถ้ามีปัญหาแล้วจะทำอย่างไร" ให้ชัดเจนในทุกข้อ
  • เงื่อนไขการชำระเงิน การค้ำประกัน และการประกันความรับผิด คือหัวใจสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านกระแสเงินสดและหนี้เสียสำหรับธุรกิจ
  • ข้อกำหนดการสิ้นสุดสัญญา (termination) และค่าปรับ ต้องเขียนให้ชัดว่าใครยกเลิกได้เมื่อใด อย่างไร และผลทางการเงินคืออะไร
  • การเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับและเขตอำนาจศาลมีผลต่อ "โอกาสชนะคดี-ระยะเวลา-ค่าใช้จ่าย" หากมีคู่สัญญาต่างชาติหรือธุรกรรมข้ามพรมแดน
  • การใช้เช็คลิสต์ตรวจสัญญาก่อนลงนามช่วยให้ธุรกิจ SMEs และสตาร์ทอัพลดช่องโหว่ที่มักถูกมองข้าม เช่น เงื่อนไขเปลี่ยนราคา การไม่แข่งขัน และการรักษาความลับ
  • สำหรับสัญญาที่มีมูลค่าสูง ความซับซ้อน หรือคู่สัญญาต่างชาติ การให้ทนายความช่วยร่าง/รีวิวสัญญาในกฎหมายไทยมักมีต้นทุนต่ำกว่าค่าความเสียหายจากข้อพิพาทในอนาคต

ร่างสัญญาธุรกิจในไทยคืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อการป้องกันความเสี่ยง?

ร่างสัญญาธุรกิจในไทยคือการกำหนดข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างคู่สัญญา เพื่อกำหนดสิทธิ หน้าที่ ความรับผิด และวิธีจัดการเมื่อมีปัญหา ตามกฎหมายไทย (โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) สัญญาที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันข้อพิพาท ลดความเสี่ยงทางการเงิน และเพิ่มโอกาสบังคับใช้สิทธิได้จริงเมื่อเกิดปัญหา. สำหรับธุรกิจ B2B สัญญาที่ดีจึงไม่ใช่แค่เอกสารประกอบการขาย แต่เป็น "เครื่องมือบริหารความเสี่ยง" ที่สำคัญมาก.

การร่างสัญญาธุรกิจในไทยควรคำนึงถึงทั้งข้อกำหนดตามกฎหมายและบริบทการทำธุรกิจจริง เช่น ความน่าเชื่อถือของคู่ค้า โครงสร้างการชำระเงิน ความเสี่ยงในการส่งมอบสินค้า/บริการ และการบังคับใช้สิทธิในศาลไทย. สำหรับธุรกิจที่ทำงานกับคู่ค้าต่างชาติ ยังอาจต้องคิดถึงการเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับ (governing law clause) และเขตอำนาจศาล หรืออนุญาโตตุลาการควบคู่ไปด้วย.

ข้อกำหนดพื้นฐานที่ต้องมีในสัญญาเชิงพาณิชย์ไทยมีอะไรบ้าง?

ข้อกำหนดพื้นฐานของสัญญาเชิงพาณิชย์ไทยควรตอบให้ครบว่า "ใคร - ทำอะไร - เมื่อไหร่ - ที่ไหน - อย่างไร - และหากไม่ทำหรือทำผิดจะเกิดอะไรขึ้น". โดยทั่วไปโครงสร้างสัญญาธุรกิจที่ดีจะมีส่วนสำคัญ เช่น ข้อมูลคู่สัญญา วัตถุประสงค์และขอบเขตงาน ราคาและเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาสัญญา สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การรักษาความลับ และข้อกำหนดกรณีผิดสัญญา. การเขียนให้ชัดในทุกส่วนช่วยลดการตีความต่างกันและลดโอกาสเกิดข้อพิพาทในอนาคต.

สำหรับกฎหมายไทย สัญญาอาจทำเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ในหลายกรณี แต่ในบริบทธุรกิจ การทำเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนจะช่วยพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ดีหากเกิดข้อพิพาทและต้องขึ้นศาล. นอกจากนี้ บางสัญญามีข้อกำหนดพิเศษ เช่น ต้องปิดอากรแสตมป์ หรือต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ ธุรกิจจึงควรตรวจสอบให้ครบถ้วนตั้งแต่ก่อนลงนาม.

หัวข้อหลักในสัญญาธุรกิจ คำอธิบายเชิงปฏิบัติ ตัวอย่างประเด็นที่ควรเขียนให้ชัด
ข้อมูลคู่สัญญา ระบุชื่อบริษัท เลขทะเบียน ที่อยู่ ผู้มีอำนาจลงนาม หากเป็นบริษัทจำกัด/มหาชน ระบุเลขนิติบุคคล และแนบหนังสือรับรองนิติบุคคลล่าสุด
คำนิยาม (Definitions) กำหนดความหมายคำสำคัญเพื่อลดการตีความต่างกัน คำว่า "สินค้า", "บริการ", "ความลับทางการค้า", "วันทำการ"
วัตถุประสงค์และขอบเขตงาน บอกให้ชัดว่าจ้างอะไร ส่งมอบอะไร ขอบเขตแค่ไหน รายละเอียดงาน รายการสินค้า ข้อจำกัดสิ่งที่ไม่รวมอยู่ในงาน
ราคาและค่าตอบแทน ระบุราคา โครงสร้างส่วนลด ภาษี และวิธีเปลี่ยนราคา ระบุว่าราคารวม VAT หรือไม่, เงื่อนไขปรับราคาเมื่อมีต้นทุนเปลี่ยน
ระยะเวลาสัญญา วันที่เริ่มต้น วันสิ้นสุด เงื่อนไขต่ออายุ ต่ออัตโนมัติหรือไม่ ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วันหากไม่ต่อ
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา กำหนดชัดว่างานที่สร้างขึ้นเป็นของใคร ซอฟต์แวร์ ดีไซน์ โลโก้ เนื้อหาโฆษณา
การรักษาความลับ ห้ามเปิดเผยข้อมูลเชิงธุรกิจ/เทคนิค ขอบเขตข้อมูลลับ ระยะเวลาผูกพันหลังหมดสัญญา
ข้อห้ามและข้อจำกัดความรับผิด กำหนดสิ่งที่ห้ามทำ และจำกัดเพดานความรับผิด ห้ามแข่งขัน ห้ามว่าจ้างพนักงานกันเอง วงเงินชดใช้สูงสุด
ข้อกำหนดกรณีผิดสัญญา กำหนดว่าหากผิดสัญญาจะจัดการอย่างไร ค่าปรับ ดอกเบี้ยผิดนัด สิทธิเลิกสัญญา
กฎหมายที่ใช้บังคับและศาล เลือกกฎหมายและเขตอำนาจศาลที่ใช้หากมีข้อพิพาท กฎหมายไทย ศาลไทย หรืออนุญาโตตุลาการ

คำถามติดตามที่ควรถามต่อ

  • สัญญาธุรกิจประเภทใดในไทยที่ควรให้ทนายช่วยร่างตั้งแต่ต้นมากที่สุด (เช่น สัญญาร่วมลงทุน สัญญา JV)?
  • มีเงื่อนไขใดบ้างที่ "ผิดกฎหมาย" แม้คู่สัญญาจะยินยอม เช่น ข้อสละสิทธิฟ้องคดีบางประเภท?

จะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน การค้ำประกัน และการประกันความรับผิดอย่างไรให้รัดกุม?

เงื่อนไขการชำระเงินที่รัดกุมในสัญญาไทยควรกำหนดให้ครบทั้ง "จำนวนเงิน เงื่อนไขจ่าย ดอกเบี้ยผิดนัด หลักประกัน และการหักกลบลบหนี้ได้หรือไม่". สำหรับธุรกิจ B2B การมีหลักประกัน (เช่น เงินมัดจำ หนังสือค้ำประกันธนาคาร) และข้อกำหนดเรื่องการประกันความรับผิด (liability & indemnity) จะช่วยลดความเสี่ยงเมื่ออีกฝ่ายผิดสัญญาหรือมีความเสียหายต่อบุคคลที่สาม. การกำหนดเงื่อนไขเหล่านี้อย่างชัดเจนและสมเหตุสมผลเป็นหนึ่งในจุดที่ควรให้ทนายความช่วยตรวจอย่างละเอียด.

ภายใต้กฎหมายไทย คู่สัญญาโดยทั่วไปสามารถตกลงเรื่องดอกเบี้ยผิดนัด ค่าปรับ และวิธีประกันความรับผิดได้ภายในกรอบที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี. อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดที่โหดร้ายเกินสมควรหรือทำให้คู่สัญญาอีกฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม อาจถูกศาลตีความลดลงหรือไม่รับบังคับได้. ธุรกิจจึงควรเขียนให้สมดุล ระหว่างการปกป้องสิทธิของตน และไม่สร้างภาระเกินสมควรต่อคู่ค้า.

1. เงื่อนไขการชำระเงิน (Payment Terms)

  • ระบุยอดเงินให้ชัดเจน พร้อมสกุลเงิน (เช่น บาทไทย, ดอลลาร์สหรัฐ)
  • ระบุว่า "ราคานี้รวม/ไม่รวม VAT และภาษีอื่น" เพื่อป้องกันการโต้แย้งภายหลัง
  • กำหนดกำหนดชำระ (เช่น ภายใน 30 วันนับจากวันได้รับใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้อง)
  • ระบุเอกสารประกอบการชำระเงิน เช่น ใบแจ้งหนี้ ต้นฉบับใบกำกับภาษี ใบส่งของ
  • กำหนดวิธีการชำระ (โอนบัญชี ระบุธนาคาร เลขบัญชี ชื่อผู้รับเงิน)
  • กำหนดสิทธิการหักกลบลบหนี้ (set-off) ว่าอนุญาตหรือไม่ และในกรณีใด

2. ดอกเบี้ยผิดนัดและค่าปรับล่าช้า

  • กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัด เมื่อผิดนัดชำระ เช่น ร้อยละต่อปีนับจากวันครบกำหนด
  • ระบุวิธีคำนวณที่ชัดเจน (คำนวณรายวันหรือรายเดือน)
  • หากมีค่าปรับรายวัน/รายงวด (liquidated damages) ให้เขียนให้ชัดว่า "ต่อวัน ต่อครั้ง หรือเพดานสูงสุดเท่าใด"
  • ควรหลีกเลี่ยงค่าปรับที่สูงเกินจริงเมื่อเทียบกับความเสียหาย เพราะศาลอาจปรับลดได้

3. การค้ำประกันและหลักประกัน (Security & Guarantee)

  • เงินมัดจำ/เงินประกันผลงาน (performance bond) - ระบุจำนวน เงื่อนไขการยึดคืนและการคืนเงินประกัน
  • หนังสือค้ำประกันของธนาคาร - ระบุธนาคาร วงเงิน ระยะเวลา เงื่อนไขการเรียกชำระ
  • การค้ำประกันโดยกรรมการ/บุคคลธรรมดา - ควรมีสัญญาค้ำประกันแยกเป็นหนังสือชัดเจน และอาจต้องปิดอากรแสตมป์
  • จำนองหรือจำนำทรัพย์สิน - ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะด้าน และในบางกรณีต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ

4. การประกันความรับผิด (Indemnity & Liability)

  • กำหนดว่า "ฝ่ายใดจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ประเภทใด และในกรณีใด" เช่น ความเสียหายต่อบุคคลที่สามจากการใช้สินค้า
  • กำหนดข้อจำกัดความรับผิด (limitation of liability) เช่น วงเงินไม่เกินมูลค่าสัญญาในรอบ 12 เดือนล่าสุด ยกเว้นในกรณีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
  • อาจกำหนดการบังคับทำประกันภัยบางประเภท เช่น ประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สาม และให้แสดงกรมธรรม์เป็นหลักฐาน
  • ระบุขั้นตอนการแจ้งเคลม เช่น ต้องแจ้งภายในกี่วันนับจากพบเหตุ และส่งมอบเอกสารประกอบใดบ้าง

คำถามติดตามที่ควรถามต่อ

  • ธุรกิจควรกำหนดเพดานความรับผิดของคู่สัญญาไว้ที่ระดับใดจึงจะ "สมดุล" ทั้งคู่ค้าและตนเอง?
  • กรณีมีคู่สัญญาต่างชาติ การกำหนดเงื่อนไขชำระเงินและสกุลเงินมีข้อควรระวังเพิ่มเติมอะไรบ้าง (อัตราแลกเปลี่ยน กฎหมายควบคุมเงินตรา)?

ข้อกำหนดการสิ้นสุดสัญญาและการกำหนดค่าปรับควรเขียนอย่างไร?

ข้อกำหนดการสิ้นสุดสัญญาที่ดีควรระบุชัดว่า "ใครสามารถเลิกสัญญาได้ เมื่อใด ด้วยเหตุใด ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน และผลของการเลิกสัญญาคืออะไร". การกำหนดค่าปรับและผลทางการเงินกรณีเลิกสัญญา (เช่น ยึดมัดจำ ชดเชยค่าเสียหาย) ต้องเขียนให้แน่นอนและสมเหตุสมผลเพื่อให้มีโอกาสบังคับใช้ตามกฎหมายไทยได้จริง. หากไม่เขียนให้ละเอียด ธุรกิจอาจเจอปัญหาที่ยุ่งยาก เช่น เลิกสัญญาไม่ได้แม้คู่ค้าทำงานช้า หรือไม่สามารถเรียกค่าเสียหายได้เต็มที่.

ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คู่สัญญาสามารถตกลงสิทธิเลิกสัญญาและค่าปรับได้ แต่ศาลมีอำนาจลดค่าปรับที่เกินควรตามพฤติการณ์แห่งคดี. ดังนั้น การกำหนดเงื่อนไขให้สมดุล และมีความเชื่อมโยงกับความเสียหายที่แท้จริง จะช่วยลดความเสี่ยงที่ศาลจะปรับลดลงมากเกินไป หากมีการฟ้องร้องในอนาคต.

1. ประเภทของการสิ้นสุดสัญญาที่ควรกำหนด

  • สิ้นสุดโดยระยะเวลา - สัญญาหมดอายุเมื่อครบกำหนด เช่น 1 ปี นับจากวันลงนาม
  • ต่ออายุอัตโนมัติ - หากไม่มีฝ่ายใดแจ้งยกเลิกภายในระยะเวลาหนึ่ง สัญญาจะต่ออายุโดยอัตโนมัติ
  • สิ้นสุดโดยการเลิกสัญญาโดยสมัครใจ - คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายสามารถเลิกสัญญาได้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ โดยแจ้งล่วงหน้า
  • สิ้นสุดจากการผิดสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ - เมื่ออีกฝ่ายผิดสัญญาในสาระสำคัญ (material breach) เช่น ไม่ชำระเงิน ไม่ส่งมอบงาน
  • สิ้นสุดจากเหตุสุดวิสัย - หากมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ เช่น ภัยธรรมชาติ มาตรการของรัฐบางประเภท
  • สิ้นสุดจากการล้มละลายหรือเลิกกิจการ - หากอีกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหรือเลิกกิจการ

2. องค์ประกอบที่ควรมีในข้อกำหนดการเลิกสัญญา

  • นิยาม "การผิดสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ" ให้ชัด เช่น ผิดนัดชำระเงินเกิน 30 วัน
  • ขั้นตอนการ "แจ้งเตือนให้แก้ไข" (cure period) เช่น ต้องให้เวลาอีกฝ่ายแก้ไขภายใน 15 วันก่อนมีสิทธิเลิกสัญญา
  • วิธีแจ้งเลิกสัญญา เช่น ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรทางไปรษณีย์ลงทะเบียน/อีเมลทางการ
  • กำหนดวันมีผลเลิกสัญญาอย่างชัดเจน เช่น มีผลทันทีเมื่อครบกำหนดแจ้งล่วงหน้า

3. การกำหนดค่าปรับและผลของการเลิกสัญญา

  • กำหนดค่าปรับกรณีส่งมอบล่าช้า/งานไม่เป็นไปตามสเปก โดยควรผูกกับมูลค่าความเสียหายที่คาดหมายได้
  • ระบุการคืน/ยึดเงินมัดจำหรือเงินประกันผลงานเมื่อมีการเลิกสัญญา
  • กำหนดการส่งคืนทรัพย์สินและข้อมูล เช่น ซอร์สโค้ด เอกสาร ข้อมูลลูกค้า
  • กำหนดว่าข้อกำหนดบางข้อ "ยังคงมีผลต่อไปหลังเลิกสัญญา" เช่น การรักษาความลับ ข้อห้ามแข่งขัน การชำระเงินค้างจ่าย

คำถามติดตามที่ควรถามต่อ

  • ศาลไทยมีแนวโน้มอย่างไรในการตีความค่าปรับที่กำหนดไว้สูงกว่าความเสียหายจริง?
  • ธุรกิจควรใช้ข้อกำหนด "termination for convenience" (เลิกได้ตามอำเภอใจด้วยเหตุผลทางธุรกิจ) ในกรณีใดบ้าง?

ควรเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับและเขตอำนาจศาลอย่างไรในสัญญาธุรกิจไทย?

หากคู่สัญญาอยู่ในไทยทั้งสองฝ่าย การกำหนดให้ "กฎหมายไทย" เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับ และ "ศาลไทย" เป็นศาลที่มีเขตอำนาจ มักเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนที่สุด. แต่หากมีคู่สัญญาต่างชาติ หรือธุรกรรมข้ามพรมแดน ธุรกิจควรพิจารณาอย่างจริงจังว่าควรเลือกกฎหมายใด ศาลใด หรือใช้อนุญาโตตุลาการ ซึ่งมีผลต่อระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และโอกาสบังคับคดีในต่างประเทศ. การเลือกผิดหรือไม่คิดให้รอบด้าน อาจทำให้แม้ชนะคดีแต่บังคับใช้คำพิพากษาได้ยาก.

โดยหลักแล้ว กฎหมายไทยเปิดโอกาสให้คู่สัญญาเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับและศาลที่มีเขตอำนาจได้ในระดับหนึ่ง ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎระเบียบบังคับเด็ดขาดของไทย (mandatory rules). อย่างไรก็ตาม บางเรื่อง เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายแข่งขันทางการค้า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อาจมีข้อจำกัดที่คู่สัญญาไม่สามารถตกลงขัดกับกฎหมายได้. ธุรกิจจึงควรให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินโดยเฉพาะในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศหรือมีมูลค่าสูง.

1. ตัวเลือกทั่วไปในการกำหนดกฎหมายและศาล

  • กฎหมายไทย + ศาลไทย
  • กฎหมายต่างประเทศ (เช่น กฎหมายอังกฤษ) + ศาลต่างประเทศ
  • กฎหมายไทย/ต่างประเทศ + อนุญาโตตุลาการ (เช่น สถาบันอนุญาโตตุลาการในไทย หรือในต่างประเทศ)

2. เกณฑ์ในการตัดสินใจสำหรับธุรกิจ

  • สถานที่ตั้งทรัพย์สินของคู่สัญญา - หากทรัพย์สินส่วนใหญ่อยู่ในไทย การเลือกศาลไทยอาจทำให้การบังคับคดีทำได้ง่ายกว่า
  • ความคุ้นเคยของทนายความ - กฎหมายและขั้นตอนของศาลไทยจะถูกอธิบายโดยทนายไทยได้อย่างคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี
  • ความเป็นกลาง - ในดีลข้ามชาติ คู่สัญญาอาจตกลงใช้กฎหมายของประเทศที่สาม หรืออนุญาโตตุลาการ เพื่อรักษาความเป็นกลาง
  • ต้นทุนและระยะเวลา - การฟ้องศาลต่างประเทศอาจใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก

3. ข้อบังคับที่ควรระวัง

  • สัญญาบางประเภทเกี่ยวข้องกับกฎหมายเฉพาะ เช่น กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งมีข้อจำกัดเพิ่มเติม
  • เรื่องแรงงานและคุ้มครองผู้บริโภค มักมีบทบัญญัติคุ้มครองฝ่ายอ่อนแอที่ไม่สามารถตัดสิทธิได้ด้วยสัญญา
  • แม้จะเลือกกฎหมายต่างประเทศ แต่การบังคับใช้ในไทยต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

สำหรับรายละเอียดตัวบทกฎหมายพื้นฐาน ธุรกิจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ราชการ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เว็บไซต์ www.krisdika.go.th และข้อมูลเกี่ยวกับศาลยุติธรรมไทยที่เว็บไซต์ www.coj.go.th.

คำถามติดตามที่ควรถามต่อ

  • ในกรณีมีคู่สัญญาต่างชาติ ธุรกิจไทยควรเลือกใช้ศาลไทยหรืออนุญาโตตุลาการเป็นหลัก?
  • การทำคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการสามารถนำมาบังคับคดีในไทยได้อย่างไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

เช็คลิสต์การตรวจสัญญาก่อนลงนามเพื่อป้องกันความเสี่ยงมีอะไรบ้าง?

ก่อนลงนามสัญญาธุรกิจในไทย ธุรกิจควรใช้เช็คลิสต์ตรวจดูทั้ง "ความถูกต้องทางกฎหมาย" และ "ความคุ้มค่าทางธุรกิจ". เช็คลิสต์ที่ดีควรถามตัวเองว่า เข้าใจความเสี่ยงทุกข้อแล้วหรือยัง เงื่อนไขไหนที่รับไม่ได้ มีช่องโหว่ด้านการชำระเงินหรือการเลิกสัญญาหรือไม่ และถ้าอีกฝ่ายผิดสัญญา เรามีเครื่องมือบังคับใช้สิทธิอย่างไร. การตรวจด้วยเช็คลิสต์ช่วยให้ทีมธุรกิจ ทีมการเงิน และฝ่ายกฎหมายทำงานร่วมกันได้มีระบบมากขึ้น.

สำหรับธุรกิจ SMEs และสตาร์ทอัพ การมี "เทมเพลตเช็คลิสต์ตรวจสัญญา" เป็นเอกสารภายในองค์กร จะช่วยลดการพลาดจุดสำคัญ โดยเฉพาะในดีลที่ไม่มีทนายความเข้าไปรีวิวแบบละเอียดทุกครั้ง. แต่สำหรับสัญญาที่มีมูลค่า/ความเสี่ยงสูง การให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจทานเพิ่มเติมก็ยังคงสำคัญ.

เช็คลิสต์การตรวจสัญญาธุรกิจก่อนลงนาม

  1. ข้อมูลคู่สัญญา
    • ชื่อบริษัท/บุคคลถูกต้องตามทะเบียนหรือไม่
    • ผู้ลงนามมีอำนาจลงนามตามหนังสือรับรองนิติบุคคลหรือไม่
    • ที่อยู่สำหรับการติดต่อและการส่งหนังสือแจ้งถูกต้อง
  2. ขอบเขตงานและข้อผูกพัน
    • เราเข้าใจขอบเขตงาน/สินค้า/บริการชัดเจนหรือไม่
    • มีสิ่งใดที่ "คิดว่าได้" แต่ไม่ได้เขียนในสัญญาหรือไม่
    • มี SLA หรือมาตรฐานงานที่ชัดเจนหรือไม่ (เช่น ระยะตอบสนอง ระบบต้องออนไลน์กี่เปอร์เซ็นต์)
  3. ราคา เงื่อนไขชำระ และต้นทุนแฝง
    • ระบุว่าราคารวม VAT และภาษีอื่นหรือไม่
    • กำหนดระยะเวลาเครดิตเทอม และดอกเบี้ยผิดนัดชัดเจนหรือไม่
    • มีค่าบริการแฝง เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าอัปเกรดระบบ หรือไม่
  4. ระยะเวลาสัญญาและการต่ออายุ
    • รู้หรือไม่ว่าสัญญาจะต่ออายุอัตโนมัติหรือไม่
    • หากไม่ต้องการต่ออายุ ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน
    • มีค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนดหรือไม่
  5. สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูล
    • งานที่สร้างขึ้นเป็นของใคร (บริษัทเรา อีกฝ่าย หรือร่วมกัน)
    • คู่สัญญามีสิทธิใช้/แก้ไข/โอนสิทธิให้บุคคลที่สามหรือไม่
    • มีข้อจำกัดในการใช้ข้อมูลลูกค้าหรือไม่
  6. ข้อจำกัดและข้อห้าม (เช่น ไม่แข่งขัน)
    • มีข้อห้ามไม่แข่งขัน (non-compete) หรือห้ามรับพนักงานกันเองหรือไม่
    • ข้อจำกัดเหล่านี้อยู่ได้นานเท่าใด หลังหมดสัญญา
  7. การรักษาความลับและความปลอดภัยข้อมูล
    • นิยาม "ข้อมูลลับ" ครอบคลุมพอหรือไม่
    • มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลอยู่ในระดับที่เรายอมรับได้หรือไม่
    • มีข้อกำหนดพิเศษสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหรือไม่
  8. การเลิกสัญญาและค่าปรับ
    • เราเลิกสัญญาได้เมื่อใด และอีกฝ่ายเลิกได้เมื่อใด
    • มีค่าปรับหรือค่าชดเชยใดเมื่อเลิกก่อนกำหนด
    • มีขั้นตอนการแจ้งเตือนก่อนเลิกสัญญาหรือไม่
  9. การระงับข้อพิพาท
    • มีขั้นตอนการเจรจาไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องศาลหรือไม่
    • ใช้กฎหมายใด ศาลใด หรืออนุญาโตตุลาการ
  10. ภาระผูกพันหลังสิ้นสุดสัญญา
    • ต้องคืน/ทำลายข้อมูลหรือทรัพย์สินใดบ้าง
    • ข้อกำหนดใดที่ยังมีผลต่อไปหลังหมดสัญญา (เช่น ความลับ ห้ามแข่งขัน)

คำถามติดตามที่ควรถามต่อ

  • ธุรกิจควรออกแบบ "กระบวนการอนุมัติสัญญาภายใน" อย่างไร เพื่อให้ทุกดีลผ่านการตรวจในระดับที่เหมาะสม?
  • ควรใช้เทมเพลตสัญญากลางของบริษัทในกรณีใด และควรยอมใช้สัญญาของคู่ค้าในกรณีใด?

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับสัญญาธุรกิจในไทย

หลายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ทอัพ มักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสัญญาที่ทำให้รับความเสี่ยงเกินจำเป็น. ความเชื่อผิดๆ เช่น "โหลดสัญญาจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ได้เลย" หรือ "ตกลงกันปากเปล่าก็พอ" อาจทำให้เมื่อเกิดข้อพิพาท บริษัทไม่มีหลักฐานหรือมีสัญญาที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายไทยและบริบทธุรกิจจริง. การเข้าใจข้อจำกัดเหล่านี้และปรับแนวทางให้เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายได้มาก.

ตัวอย่างความเข้าใจผิดสำคัญ

  • เข้าใจว่าข้อตกลงปากเปล่าไม่มีผลทางกฎหมาย
    จริงๆ แล้วสัญญาโดยทั่วไปภายใต้กฎหมายไทยสามารถทำด้วยวาจาได้และมีผลผูกพัน แต่ปัญหาคือ "พิสูจน์ยาก" เมื่อมีข้อพิพาท. สำหรับธุรกิจ B2B จึงควรทำสัญญาเป็นหนังสือแทบทุกครั้ง.
  • คิดว่าใช้เทมเพลตสัญญาจากต่างประเทศได้เลย
    สัญญาแบบอังกฤษ/อเมริกันอาจไม่สอดคล้องกับโครงสร้างกฎหมายไทย และอาจมีข้อกำหนดที่ใช้ไม่ได้ในไทย หรือขัดต่อกฎหมายบังคับบางประการ.
  • ไม่สนใจรายละเอียดเรื่องค่าปรับและเขตศาล
    หลายธุรกิจยอมรับเงื่อนไขค่าปรับสูงมากหรือศาลต่างประเทศ โดยมองว่า "ไม่น่ามีวันได้ใช้". แต่เมื่อเกิดปัญหาจริง เงื่อนไขเหล่านี้อาจสร้างภาระมหาศาลหรือทำให้บังคับสิทธิได้ยากมาก.

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการร่างสัญญาธุรกิจในไทย

ต้องจดทะเบียนสัญญากับหน่วยงานรัฐทุกฉบับหรือไม่?

ไม่จำเป็น สัญญาธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ต้องจดทะเบียน แต่บางประเภท เช่น สัญญาจำนองอสังหาริมทรัพย์ สัญญาเช่าที่ดินระยะยาว จะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายเฉพาะ. อย่างไรก็ตาม สัญญาบางฉบับอาจมีภาระเรื่องอากรแสตมป์ซึ่งควรตรวจสอบกับกฎหมายอากรของกรมสรรพากร.

จำเป็นต้องมีพยานลงนามในสัญญาทุกฉบับหรือไม่?

ไม่ใช่ทุกสัญญาจะต้องมีพยานจึงจะมีผล แต่การมีพยานลงนามช่วยเพิ่มน้ำหนักในการพิสูจน์ในศาลได้. ในบางกรณี เช่น สัญญาค้ำประกัน ควรทำเป็นหนังสือและมีการลงลายมือชื่อให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด.

สัญญาภาษาอังกฤษใช้ได้จริงในศาลไทยหรือไม่?

โดยหลักแล้วคู่สัญญาสามารถทำสัญญาภาษาอังกฤษได้ แต่หากมีข้อพิพาทในศาลไทย อาจต้องจัดทำคำแปลภาษาไทยอย่างเป็นทางการเพื่อใช้ในการพิจารณาคดี. หากสัญญามีทั้งฉบับภาษาไทยและอังกฤษ ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าฉบับใดจะใช้บังคับเป็นหลักเมื่อมีความขัดแย้งกัน.

ควรใช้สัญญากลางของคู่ค้าหรือของบริษัทเราดี?

ในทางปฏิบัติ ธุรกิจขนาดเล็กมักจำต้องใช้สัญญาของคู่ค้ารายใหญ่ แต่ก็ควรให้ฝ่ายกฎหมายหรือทนายช่วยตรวจและเจรจาแก้ไขข้อหลักๆ ที่มีความเสี่ยงสูง. หากดีลใหญ่หรือมีความเสี่ยงสูง การยืนยันใช้เทมเพลตของบริษัทเองหรืออย่างน้อยใช้เป็นฐานในการเจรจาก็จะได้เปรียบมากขึ้น.

ค่าทนายในการร่าง/รีวิวสัญญาธุรกิจในไทยประมาณเท่าใด?

ค่าทนายแตกต่างกันตามความซับซ้อนของสัญญา มูลค่าธุรกรรม และชื่อเสียงของสำนักงานกฎหมาย. สำหรับสัญญาทั่วไปของ SMEs มักอยู่ในระดับที่คุ้มค่ากับการป้องกันความเสียหายหลักแสนถึงหลักล้านบาทที่อาจเกิดขึ้นจากสัญญาที่ไม่รัดกุม.

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความช่วยร่างหรือทบทวนสัญญา?

ธุรกิจควรพิจารณาจ้างทนายความช่วยร่างหรือรีวิวสัญญาเมื่อสัญญามี "มูลค่าสูง ความซับซ้อนสูง หรือคู่สัญญาต่างชาติ". หากสัญญาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินมูลค่าสูง การร่วมลงทุน หุ้น หรือเทคโนโลยีที่สำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยออกแบบโครงสร้างข้อตกลงจะช่วยลดความเสี่ยงระยะยาวได้มาก. นอกจากนี้ หากคู่สัญญาเสนอร่างสัญญาที่ซับซ้อน มีศัพท์กฎหมายจำนวนมาก หรือมาจากประเทศอื่น การให้ทนายช่วยอธิบายความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญ.

  • ดีลมูลค่าสูง เช่น การซื้อขายสินทรัพย์ครั้งใหญ่ สัญญาเช่าระยะยาว สัญญา JV หรือ M&A
  • สัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา แบรนด์ หรือเทคโนโลยีสำคัญของธุรกิจ
  • กรณีที่คู่สัญญาใช้ "สัญญามาตรฐานของตนเอง" ที่ให้เราเป็นฝ่ายรับความเสี่ยงส่วนใหญ่
  • กรณีมีข้อกังวลว่าจะมีข้อพิพาท เช่น โปรเจ็กต์ที่ต้องส่งมอบหลายเฟส มีตัวชี้วัดผลงาน (KPI/SLA) ซับซ้อน

ในทางปฏิบัติ ธุรกิจอาจกำหนดเกณฑ์ภายใน เช่น ดีลใดที่มีมูลค่าเกินจำนวนหนึ่ง หรือประเภทสัญญาใดบ้าง ที่ "ต้องผ่านการรีวิวโดยทนาย" ก่อนลงนามเสมอ. การใช้แพลตฟอร์มกฎหมายที่น่าเชื่อถือเช่น Lawzana ช่วยให้ค้นหาทนายที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านสัญญาธุรกิจไทยได้ง่ายขึ้น และสามารถขอใบเสนอราคาล่วงหน้าเพื่อนำไปเปรียบเทียบได้.

ขั้นตอนต่อไป: วางระบบสัญญาธุรกิจของคุณให้ปลอดภัยมากขึ้น

การมีสัญญาธุรกิจที่รัดกุมไม่ใช่เรื่องของเอกสารฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่เป็น "ระบบการจัดการสัญญา" ของทั้งองค์กร. ขั้นตอนต่อไปที่ธุรกิจสามารถเริ่มได้ทันที คือจัดทำเทมเพลตพื้นฐาน ปรับใช้เช็คลิสต์ตรวจสัญญา และกำหนดเกณฑ์ชัดเจนว่าดีลใดต้องปรึกษาทนาย. เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น การลงทุนในกระบวนการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากข้อพิพาทและรักษาความสัมพันธ์กับคู่ค้าได้ดียิ่งขึ้น.

  1. จัดทำหรือปรับปรุง "เทมเพลตสัญญามาตรฐาน" ของบริษัท (เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาให้บริการ สัญญา NDA)
  2. นำเช็คลิสต์ตรวจสัญญาที่กล่าวถึงไปปรับใช้เป็นเอกสารภายในองค์กร
  3. กำหนดขั้นตอนอนุมัติสัญญาก่อนลงนาม เช่น ต้องได้รับอนุมัติจากฝ่ายการเงิน ฝ่ายกฎหมาย ผู้บริหาร ตามวงเงินดีล
  4. กำหนดเกณฑ์เมื่อใดที่ต้องใช้ทนายภายนอกช่วยรีวิว เช่น ดีลเกินมูลค่าหนึ่ง หรือต่างประเทศเกี่ยวข้อง
  5. จัดเก็บสัญญาอย่างเป็นระบบ (ทั้งไฟล์และต้นฉบับกระดาษ) พร้อมระบบแจ้งเตือนวันหมดอายุ/ต่ออายุสัญญา

หากคุณต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงในสัญญาธุรกิจที่กำลังจะลงนาม การค้นหาทนายความที่มีประสบการณ์ด้านสัญญาเชิงพาณิชย์ไทยผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Lawzana จะช่วยให้คุณเปรียบเทียบผู้เชี่ยวชาญ งบประมาณ และเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับธุรกิจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น.

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ค้นหาทนายความ

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม