- หากได้รับหนังสือสอบสวนหรือถูก "บุกตรวจ" (dawn raid) ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า นายจ้างและผู้บริหารต้องตอบสนองทันที จัดทีมกฎหมายภายใน-ภายนอก และหยุดทำลาย/ลบข้อมูลทุกชนิด
- หน่วยงานหลักคือคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ซึ่งมีอำนาจเรียกเอกสาร สอบสวน ลงโทษทางปกครอง และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการดำเนินคดีอาญาได้
- บริษัทและพยานมีสิทธิสำคัญ เช่น สิทธิให้ทนายความร่วมฟังการสอบสวน สิทธิขอสำเนาคำให้การ สิทธิขอปิดบังความลับทางการค้า และสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
- การเตรียมข้อมูลอย่างมีระบบ การสื่อสารภายใน-ภายนอกอย่างรอบคอบ และการกำหนดจุดยืนเชิงกลยุทธ์ (จะต่อสู้หรือเจรจา) มีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงค่าปรับ ชื่อเสียง และความต่อเนื่องทางธุรกิจ
- การสร้างโปรแกรม compliance ด้านการแข่งขันทางการค้าล่วงหน้า (นโยบาย ฝึกอบรม audit และคู่มือรับมือการตรวจค้น) ช่วยลดความเสี่ยงการถูกสอบสวน และหากถูกสอบจริง จะช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้นมาก
กำลังถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขันในไทย ควรเริ่มจากอะไร?
เมื่อบริษัทได้รับหนังสือสอบสวนหรือถูกเจ้าหน้าที่สำนักงาน กขค. เข้าตรวจสถานที่ สิ่งสำคัญที่สุดในชั่วโมงแรกคือ "หยุดความเสียหาย" ตั้งทีมรับมือ (investigation response team) จัดการข้อมูล เอกสาร และการสื่อสารให้เป็นระบบ และขอคำปรึกษาทนายที่มีประสบการณ์ทันที เพื่อไม่ให้การตอบสนองครั้งแรกกลายเป็นหลักฐานเสียเปรียบในภายหลัง
บทความนี้มุ่งตอบโจทย์ผู้บริหารและที่ปรึกษากฎหมายของธุรกิจ (B2B) ที่กำลังค้นหาทั้ง "ความเข้าใจภาพรวม" (Know) และ "วิธีลงมือรับมือและป้องกัน" (Do) ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าไทย โดยเน้นสิทธิการป้องกันและกลยุทธ์ตอบโต้แบบเป็นขั้นตอน
- หากเพิ่งได้รับหนังสือจากสำนักงาน กขค. หรือมีเจ้าหน้าที่มาที่สำนักงาน ให้ถ่ายภาพ/สแกนเอกสารทุกฉบับ เก็บชื่อและตำแหน่งเจ้าหน้าที่ และแจ้งฝ่ายกฎหมายทันที
- สั่ง "legal hold" ภายในบริษัท ห้ามทำลาย ลบ เคลื่อนย้าย หรือแก้ไขข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา เช่น อีเมล แชท เอกสารบน shared drive
- แต่งตั้ง "ผู้ประสานงานกลาง" กับสำนักงาน กขค. เพียง 1-2 คน ลดความเสี่ยงจากการให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
- ประเมินเบื้องต้นว่าข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมใด (ฮั้วราคา การใช้อำนาจเหนือตลาด การควบรวมกิจการ ฯลฯ) และมีธุรกิจใด/หน่วยงานรัฐอื่นเกี่ยวข้องบ้าง
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- หน่วยงานใดกันแน่ที่มีอำนาจสอบสวน และมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน?
- ในฐานะบริษัทหรือพยาน เรามีสิทธิอะไรบ้างในการให้ข้อมูลหรือปฏิเสธไม่ตอบ?
- ต้องเตรียมเอกสารและทีมภายในอย่างไรให้ "พร้อม" แต่ไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ?
- จะบริหารความเสี่ยงด้านสื่อและชื่อเสียงแบรนด์อย่างไรระหว่างที่คดียังไม่จบ?
หน่วยงานใดมีอำนาจสอบสวนคดีการแข่งขันทางการค้าในไทย และขอบเขตอำนาจคืออะไร?
คดีการแข่งขันทางการค้าในไทยอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยมีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เป็นองค์กรกำกับหลัก และสำนักงาน กขค. เป็นฝ่ายปฏิบัติการที่ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน สืบสวน และเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ รวมถึงมีอำนาจออกคำสั่งและเปรียบเทียบปรับทางปกครองบางกรณีด้วย.(competition.law.gwu.edu)
โครงสร้างหลักของการบังคับใช้
- คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.)
- เป็นองค์กรอิสระที่กำกับดูแลและกำหนดนโยบายการแข่งขันทางการค้า รวมทั้งพิจารณาคดีที่ละเมิดกฎหมาย
- มีอำนาจ:
- มีมติให้เริ่มไต่สวนคดี
- มีคำวินิจฉัยว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่
- กำหนดมาตรการเยียวยาและลงโทษทางปกครอง เช่น สั่งปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำผิด (สำหรับบางความผิด)(oecd.org)
- มอบหมายให้สำนักงาน กขค. ดำเนินการยื่นคำฟ้องต่อศาลในคดีอาญาที่เกี่ยวกับฮั้วและการใช้อำนาจเหนือตลาดบางประเภท
- สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) / OTCC
- เป็นหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่:
- รับคำร้องเรียนจากประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจ
- รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ตลาด และสืบสวนข้อเท็จจริง
- ออกหนังสือเรียกเอกสาร สอบถามข้อเท็จจริง และเข้าตรวจสถานประกอบการ
- เสนอความเห็นต่อ กขค. ว่าควรมีมติอย่างไรในแต่ละคดี
- เป็นหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่:
ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าถึงเอกสารเผยแพร่ความรู้ของสำนักงาน กขค. เกี่ยวกับองค์กรและขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายได้ที่ ฐานข้อมูลเผยแพร่ความรู้ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า.(catalog.tcct.or.th)
ขอบเขตอำนาจการสอบสวน
- ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560
- ครอบคลุมการกระทำร่วมกันที่เป็นการฮั้ว ผูกขาด ลดหรือจำกัดการแข่งขัน การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม และการประกอบธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม เช่น การกดราคาคู่ค้า SMEs อย่างรุนแรง(oecd.org)
- ครอบคลุมการควบรวมกิจการที่อาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรืออำนาจเหนือตลาด (ทั้งแบบต้องขออนุญาตล่วงหน้า และแจ้งภายหลังการควบรวม)
- อำนาจในการสืบสวนและตรวจค้น
- เรียกให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งเอกสาร ข้อมูล หรือชี้แจงด้วยวาจา
- เข้าตรวจสถานประกอบธุรกิจ (คล้าย "dawn raid") และตรวจค้น/ยึดเอกสารได้หากได้รับอนุญาตตามขั้นตอนกฎหมาย
- ในกรณีฮั้วหรือใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างร้ายแรง คดีมีลักษณะเป็นอาญา ต้องส่งต่อให้พนักงานอัยการฟ้องต่อศาล
- เขตอำนาจศาล
- ข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าโดยทั่วไปอยู่ในเขตอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและศาลยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเคยถูกยืนยันโดยบทวิเคราะห์และแนวปฏิบัติของหน่วยงานต่างประเทศและนักวิชาการ.(thelegal.co.th)
คำถามติดตาม
- ธุรกิจในกลุ่มรัฐวิสาหกิจหรือในอุตสาหกรรมที่มีหน่วยงานกำกับเฉพาะ (เช่น พลังงาน โทรคมนาคม) อยู่ภายใต้กฎหมายแข่งขันแค่ไหน?
- สำนักงาน กขค. มีแนวโน้มใช้การ "ตรวจสอบเชิงรุก" (ex officio) มากขึ้นหรือไม่?
เมื่อถูกสอบสวน บริษัทและพยานมีสิทธิอะไรบ้างภายใต้กฎหมายการแข่งขันของไทย?
แม้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าจะให้อำนาจสอบสวนกว้าง แต่บริษัทและพยานไม่ได้ "ไร้สิทธิ" คุณมีสิทธิสำคัญ เช่น สิทธิให้ทนายร่วมฟังการสอบสวน สิทธิขอทราบข้อกล่าวหาและขอบเขตคำถาม สิทธิขอปิดบังข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า รวมถึงสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยต่อศาลที่มีอำนาจ.
สิทธิหลักของบริษัท (นิติบุคคล)
- สิทธิให้มีทนายความเข้าร่วม
- บริษัทสามารถให้ที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความเข้าร่วมการให้ถ้อยคำแก่เจ้าหน้าที่สำนักงาน กขค. ทั้งในรูปแบบการประชุม ตัวต่อตัว หรือผ่านเอกสารตอบคำถาม
- หากเป็นการเข้าตรวจสถานที่ ควรแจ้งให้ทนายมาร่วมโดยเร็วที่สุด แม้การตรวจจะเริ่มก่อนทนายมาถึงก็ตาม
- สิทธิขอทราบข้อกล่าวหาหรือประเด็นที่ถูกตรวจสอบ
- มีสิทธิขอให้เจ้าหน้าที่อธิบายพื้นฐานข้อสงสัยหรือประเด็นทางกฎหมายคร่าว ๆ (เช่น ฮั้วประมูลในตลาดใด ช่วงเวลาใด) แม้อาจยังไม่ได้รับเอกสารเปิดเผยอย่างละเอียดในช่วงต้น
- สิทธิในการขอคุ้มครองความลับทางการค้า
- เมื่อส่งเอกสารหรือข้อมูลที่เป็นข้อมูลเชิงลึก เช่น สูตรราคา ฐานข้อมูลลูกค้า สามารถระบุให้เป็น "ข้อมูลลับทางการค้า" เพื่อให้สำนักงาน กขค. ดูแลตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลลับ และลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยต่อบุคคลที่สาม
- สิทธิในการตรวจสอบสำเนาความเห็นและคำให้การ
- สามารถขอสำเนาคำให้การหรือจดหมายโต้ตอบกับสำนักงาน กขค. เพื่อใช้ทบทวนภายในและเป็นแนวทางการให้ข้อมูลเพิ่มเติม
- สิทธิอุทธรณ์/ฟ้องศาล
- หากไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของ กขค. หรือสำนักงาน กขค. บริษัทมีสิทธิใช้กลไกศาล เช่น ฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครองต่อศาลปกครอง หรือโต้แย้งคดีอาญาต่อศาลยุติธรรมที่มีเขตอำนาจ ตามลักษณะของคดี
สิทธิของพยานและบุคคลธรรมดา
- สิทธิให้ทนายความเข้าร่วม ในการให้คำให้การที่อาจมีผลกระทบต่อความรับผิดของตนหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง
- สิทธิที่จะไม่ให้การปรักปรำตนเอง ตามหลักทั่วไปของกฎหมายอาญา หากคำถามมีลักษณะส่อไปว่าอาจทำให้ตนถูกกล่าวหาในภายหลัง ควรปรึกษาทนายก่อนตอบอย่างละเอียด
- สิทธิขอใช้ล่าม หากไม่ถนัดการใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสอบสวน
- สิทธิได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม ไม่ถูกข่มขู่ บีบบังคับ หรือหลอกลวงให้ให้การเท็จ
ข้อควรระวังสำคัญ
- การ "เมินเฉย" ต่อหนังสือเรียกเอกสารหรือไม่ให้ความร่วมมือ อาจเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง มีโทษอาญาได้ เช่น จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับกรณีไม่ให้ข้อมูล และโทษสูงขึ้นสำหรับการขัดขวางการตรวจค้น.(oecd.org)
- การทำลายหลักฐาน (ลบอีเมล ล้างโทรศัพท์ ทำลายเอกสาร) หลังทราบว่ามีการสอบสวน อาจถูกมองเป็นการขัดขวางการสอบสวนและถูกลงโทษหนักขึ้น
คำถามติดตาม
- ในทางปฏิบัติ สำนักงาน กขค. ให้เวลานานเท่าไรในการตอบหนังสือเรียกเอกสาร และสามารถขอขยายเวลาได้ไหม?
- ผู้บริหารต่างชาติที่อยู่ต่างประเทศแต่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องเดินทางมาให้การในไทยหรือไม่?
ถูกเรียกเอกสารและเข้าชี้แจง ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
เมื่อได้รับหนังสือเรียกเอกสารหรือคำชี้แจงจากสำนักงาน กขค. บริษัทควรตั้ง "โครงการจัดการเอกสาร" เฉพาะกิจ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบความครบถ้วนและความเสี่ยงในเนื้อหา พร้อมจัดทำคำอธิบายบริบททางธุรกิจประกอบ ไม่ใช่เพียงส่งเอกสารดิบแบบกระจัดกระจาย.
Checklist เอกสารและข้อมูลที่ควรเตรียม
| หมวดข้อมูล | ตัวอย่างที่มักถูกขอ | ข้อควรระวัง |
|---|---|---|
| โครงสร้างธุรกิจและตลาด |
|
ตรวจสอบให้ข้อมูลล่าสุดและสอดคล้องกับรายงานที่เคยส่งให้หน่วยงานรัฐอื่น |
| นโยบายและเอกสารภายใน |
|
ทบทวนเงื่อนไขที่อาจถูกตีความเป็นการจำกัดการแข่งขัน เช่น การบังคับราคา การห้ามขายคู่แข่ง |
| คำสั่งซื้อและข้อมูลเชิงปริมาณ |
|
จัดรูปแบบให้อ่านง่าย แยกตามผลิตภัณฑ์/ลูกค้า เพื่อช่วยอธิบายเหตุผลทางธุรกิจของการเปลี่ยนแปลงราคา |
| การสื่อสารภายใน-ภายนอก |
|
ต้องเก็บครบถ้วน ห้ามคัดเลือกเฉพาะส่วนที่ "ดูดี" และห้ามลบข้อความที่เสียหาย |
| ประวัติการปฏิบัติตามกฎหมาย |
|
มักถูกใช้เป็นเหตุพิจารณาลดโทษหรือสะท้อนว่าบริษัทมีเจตนาปฏิบัติตามกฎหมาย |
ขั้นตอนการจัดการเอกสารอย่างมืออาชีพ
- ประกาศ "legal hold" ภายใน ให้ทุกคนหยุดลบหรือนำข้อมูลออกจากระบบ
- รวบรวมข้อมูลแบบ "กว้างก่อน แคบทีหลัง"
- เริ่มจากการดึงข้อมูลตาม keyword ที่เกี่ยวข้องจากอีเมล เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ทำงาน
- คัดแยกเอกสารที่ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องออกไปภายหลัง ด้วยการ review โดยทีมกฎหมาย
- จัดทำ "Privilege Log"
- ระบุเอกสารที่มีลักษณะเป็นการให้คำปรึกษากับทนายความ เพื่อรักษาสิทธิในความลับของการปรึกษากฎหมายตามหลักทั่วไป
- เตรียม "เรื่องเล่า" (narrative)
- ไม่ใช่ส่งแต่ข้อมูลตัวเลข แต่ควรแนบคำอธิบายบริบท เช่น การเปลี่ยนต้นทุน การแข่งขันรุนแรง การเข้าสู่ตลาดใหม่ ฯลฯ
- ตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างข้อมูลที่ส่งให้ กขค. กับข้อมูลที่เคยยื่นต่อหน่วยงานอื่น เช่น กรมสรรพากร กสทช. หรือสำนักงาน กกพ. (ถ้ามี)
คำถามติดตาม
- สำนักงาน กขค. ยอมรับไฟล์ข้อมูลในรูปแบบใดบ้าง และควรเตรียม data room ดิจิทัลอย่างไร?
- หากเอกสารบางส่วนอยู่ในต่างประเทศหรืออยู่กับบริษัทแม่ จะต้องขอความร่วมมืออย่างไรจึงไม่ช้าเกินกำหนด
ควรวางกลยุทธ์ตอบโต้และสื่อสารสาธารณะอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยง?
การตอบสนองต่อการสอบสวนกฎหมายแข่งขันไม่ใช่แค่การ "ทำตามหนังสือ" แต่คือการวางกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการป้องกันทางกฎหมาย การรักษาธุรกิจประจำวัน และการจัดการความเสี่ยงด้านชื่อเสียง บริษัทควรตั้ง "war room" ขนาดย่อมที่มีทั้งฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายธุรกิจ ฝ่ายสื่อสารองค์กร และหากจำเป็น ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์เข้าร่วม.
1) กลยุทธ์ทางกฎหมาย
- ประเมินจุดเสี่ยงอย่างตรงไปตรงมา
- review หลักฐานภายในก่อน เพื่อเข้าใจว่า "จุดอ่อน" อยู่ตรงไหน เช่น อีเมลที่ส่อการตกลงกับคู่แข่ง การกำหนดราคาเชิงกีดกัน หรือสัญญาที่อาจจำกัดคู่ค้า
- แยกประเด็นที่มีความเสี่ยงสูง ปานกลาง และต่ำ เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการชี้แจง
- กำหนดระดับความร่วมมือกับหน่วยงาน
- สำหรับบางกรณี การให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน (เช่น ส่งข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว และนำเสนอมาตรการแก้ไข) อาจช่วยลดความเข้มข้นของมาตรการลงโทษ
- อย่างไรก็ดี ไทยยังไม่มี leniency programme แบบเต็มรูปแบบสำหรับคดีฮั้ว/คาร์เทลเช่นในหลายประเทศ การ "ยอมรับผิด" ต้องชั่งน้ำหนักผลทางคดีอาญาและผลต่อการถูกฟ้องแพ่งควบคู่กัน.(oecd.org)
- ประสานงานกับคู่ค้าหรือคู่กรณี
- หากมีคู่ค้า/พันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยเดียวกัน ควรกำหนดขอบเขตการสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ไม่ให้กลายเป็นการ "ตกลงร่วมกัน" เพิ่มเติม
- เตรียมเส้นทางสู่ศาล
- ในคดีที่มีโทษอาญาหรือค่าปรับสูง ควรเตรียมกลยุทธ์การต่อสู้ในศาลตั้งแต่ช่วงสอบสวน เช่น การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญตลาด การเก็บข้อมูลเชิงเศรษฐศาสตร์ประกอบ
2) กลยุทธ์ด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์สาธารณะ (PR)
- แต่งตั้ง "โฆษก" เพียงไม่กี่คน
- หลีกเลี่ยงการให้ผู้บริหารหลายคนให้สัมภาษณ์หรือโพสต์โซเชียลเกี่ยวกับคดี ซึ่งอาจขัดแย้งกันเอง
- กำหนดข้อความหลัก (key messages)
- เช่น "บริษัทให้ความร่วมมือกับกระบวนการสอบสวนอย่างเต็มที่" "ยังไม่มีคำวินิจฉัยว่าบริษัทกระทำผิด" และย้ำความมุ่งมั่นในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
- หลีกเลี่ยงการโจมตีคู่แข่งหรือหน่วยงานรัฐ เพราะอาจทำให้บรรยากาศการสอบสวนตึงเครียดขึ้น
- สื่อสารภายในอย่างโปร่งใสแต่พอเหมาะ
- แจ้งให้พนักงานทราบในระดับที่จำเป็น ว่ามีการสอบสวนและต้องปฏิบัติตาม legal hold อย่างไร
- เตือนให้หลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นคดีในที่สาธารณะหรือบนโซเชียลมีเดียส่วนตัว
- เตรียมการกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน (ถ้ามี)
- ในบริษัทจดทะเบียน อาจต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อผู้ถือหุ้นและตลาดหลักทรัพย์ตามเกณฑ์ความมีนัยสำคัญ
คำถามติดตาม
- ในกรณีที่ข่าวหลุดก่อนมีหนังสืออย่างเป็นทางการ บริษัทควรสื่อสารอย่างไร?
- การทำ internal investigation ควบคู่กับการสอบสวนของสำนักงาน กขค. ควรตั้งอยู่บนกรอบไหนจึงจะไม่ขัดแย้งกัน?
จะป้องกันล่วงหน้าอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมายการแข่งขัน?
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการมี "โปรแกรม compliance ด้านการแข่งขันทางการค้า" ที่จริงจัง ไม่ใช่เพียงการจัดอบรมปีละครั้ง การมีนโยบายที่ชัดเจน ระบบอนุมัติการตั้งราคา/สัญญา และการตรวจสอบภายในอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสการละเมิดและเพิ่มคะแนนบรรเทาโทษหากเกิดเรื่อง.
องค์ประกอบของโปรแกรม compliance ที่ควรมี
- นโยบายการแข่งขันทางการค้า (Competition Policy)
- ระบุพฤติกรรมที่ห้ามอย่างชัดเจน เช่น ห้ามฮั้วราคา ห้ามแลกเปลี่ยนข้อมูลราคากับคู่แข่ง ห้ามตกลงแบ่งตลาด
- กำหนดขั้นตอนการอนุมัติเมื่อจะเข้าร่วมประชุมสมาคมการค้าหรือประชุมที่มีคู่แข่งรวมอยู่ด้วย
- การฝึกอบรมและคู่มือ
- ฝึกอบรม onboarding สำหรับพนักงานขาย การตลาด และผู้บริหารทุกคน
- อบรมเชิงลึกเป็นระยะ โดยใช้กรณีศึกษาจริงในไทยซึ่งสำนักงาน กขค. เผยแพร่ เช่น กรณีเกี่ยวกับการใช้อำนาจเหนือตลาดและการรวมธุรกิจเพื่อให้เข้าใจ "เส้นแบ่งที่ห้ามข้าม".(catalog.tcct.or.th)
- ระบบตรวจสอบสัญญาและโครงการสำคัญ
- สัญญาที่เกี่ยวกับการจำกัดการขาย การกำหนดราคา การผูกขาดพื้นที่ หรือการร่วมลงทุนกับคู่แข่ง ควรผ่านการ review โดยทีมกฎหมายแข่งขัน
- โครงการควบรวม/ซื้อกิจการ ต้องได้รับการประเมินว่าต้องแจ้งหรือขออนุญาต กขค. หรือไม่
- ช่องทางร้องเรียนภายใน (whistleblowing)
- แม้ไทยยังไม่มี leniency programme เต็มรูปแบบในกฎหมายแข่งขัน แต่การเปิดให้พนักงานแจ้งเบาะแสภายในช่วยให้บริษัทรู้ปัญหาก่อนหน่วยงานรัฐ
- คู่มือรับมือ "การตรวจค้นโดยไม่แจ้งล่วงหน้า" (Dawn Raid Manual)
- อธิบายขั้นตอนเมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงสำนักงาน ใครต้องทำอะไร ติดต่อใคร ตรวจสอบคำสั่งค้นอย่างไร และขอบเขตการให้ความร่วมมือ
คำถามติดตาม
- บริษัทขนาดกลาง-เล็กควรเริ่มต้นทำ compliance ด้วยงบประมาณจำกัดอย่างไร?
- การใช้ e-learning ของสำนักงาน กขค. หรือหน่วยงานรัฐอื่นช่วยลดความเสี่ยงได้แค่ไหน?
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขัน
ความเข้าใจผิดทำให้หลายบริษัทตัดสินใจผิดในช่วงเวลาสำคัญ นำไปสู่โทษหนักหรือความเสียหายต่อชื่อเสียงที่ไม่จำเป็น.
- "คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่ค่าปรับไม่กี่แสน"
- ความจริง: สำหรับการกระทำร้ายแรงเช่น ฮั้วประมูลหรือฮั้วราคา ค่าปรับทางอาญาอาจสูงถึง 10% ของรายได้ในปีที่กระทำผิด และมีโทษจำคุกสำหรับผู้บริหารที่เกี่ยวข้องได้.(oecd.org)
- "อีเมล/แชทส่วนตัวใช้เป็นหลักฐานไม่ได้"
- ความจริง: การสื่อสารผ่านอีเมลบริษัท แอปแชทที่ใช้เพื่อธุรกิจ หรืออุปกรณ์ที่บริษัทออกให้ สามารถถูกตรวจสอบและนำมาเป็นหลักฐานได้ หากศาลอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- "ทำตามราคาคู่แข่งเสมอจึงปลอดภัย"
- ความจริง: การ "ตามราคาคู่แข่ง" โดยไม่มีการตกลงร่วมกันมักไม่ผิดกฎหมาย แต่หากมีการสื่อสารหรือส่งสัญญาณระหว่างกันจนเสมือนตกลงกัน ก็อาจถูกมองเป็นฮั้วราคาได้
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเมื่อธุรกิจถูกสอบสวนโดย กขค.
ถ้าไม่ส่งเอกสารให้สำนักงาน กขค. จะเกิดอะไรขึ้น?
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ส่งเอกสารหรือไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล อาจเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง มีโทษปรับและจำคุก (เช่น จำคุกไม่เกิน 3 เดือนและปรับในบางกรณี) แยกจากความผิดแข่งขันทางการค้าหลัก.(oecd.org) การชี้แจงอย่างมืออาชีพและหากจำเป็นให้ทนายช่วยขอขยายเวลาจะปลอดภัยกว่าการเพิกเฉย
กระบวนการสอบสวนใช้เวลานานแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของตลาด จำนวนฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และปริมาณเอกสาร ในทางปฏิบัติ การสืบสวนหลายคดีใช้เวลาตั้งแต่หลายเดือนจนถึงหลายปี โดยเฉพาะคดีฮั้วและใช้อำนาจเหนือตลาด ซึ่งหน่วยงานระหว่างประเทศอย่าง OECD เคยระบุว่าการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันในไทยยังต้องใช้ทรัพยากรและเวลามากในแต่ละคดี.(oecd.org)
จะเจรจายอมรับผิดเพื่อลดโทษได้หรือไม่?
ไทยยังไม่มีระบบ leniency เต็มรูปแบบ แต่ในระดับปฏิบัติ การยอมรับข้อเท็จจริงบางประการ การให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และการนำเสนอมาตรการแก้ไข/เยียวยา อาจมีผลต่อการพิจารณาโทษ อย่างไรก็ตามการ "ยอมรับผิด" ต้องชั่งน้ำหนักผลทางอาญา แพ่ง และชื่อเสียงกับทนายที่มีประสบการณ์ก่อนตัดสินใจ.(oecd.org)
คดีแข่งขันในไทยต้องขึ้นศาลไหน?
คดีแข่งขันที่เป็นอาญาหรือข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าโดยทั่วไปจะอยู่ในระบบศาลยุติธรรม โดยมีศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเป็นศาลเฉพาะทางที่มีอำนาจในหลายกรณี ส่วนคำสั่งทางปกครองของ กขค. อาจถูกโต้แย้งต่อศาลปกครองตามลักษณะของคดี.(thelegal.co.th)
บริษัทต่างชาติที่ไม่มีนิติบุคคลในไทย จะถูกสอบสวนได้ไหม?
หากพฤติกรรมของบริษัทต่างชาติมีผลกระทบต่อตลาดไทย (เช่น กำหนดราคาหรือฮั้วการประมูลสินค้าที่ขายในไทย) ก็มีโอกาสถูกหน่วยงานไทยสอบสวนหรือเรียกข้อมูลได้ โดยเฉพาะเมื่อมีบริษัทย่อย ตัวแทนจำหน่าย หรือคู่ค้าในไทยที่เกี่ยวข้อง
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความด้านกฎหมายการแข่งขัน?
สำหรับคดีแข่งขันทางการค้า การมีทนายที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านตั้งแต่ต้นช่วยลดความเสี่ยงผิดพลาดได้มาก ควรพิจารณาจ้างทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ต่อไปนี้:
- ได้รับหนังสือจากสำนักงาน กขค. ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสอบถามข้อมูล หนังสือเรียกเอกสาร หรือหนังสือเชิญชี้แจง
- ถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสำนักงาน (dawn raid) หรือมีการเก็บคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์เป็นหลักฐาน
- พบ "สัญญาณเตือน" ภายใน เช่น อีเมลที่พูดถึงการตกลงราคา/แบ่งตลาดกับคู่แข่ง การร้องเรียนจากคู่ค้าเรื่องการใช้อำนาจเหนือตลาด หรือแผนควบรวมกิจการขนาดใหญ่
- กำลังจะเข้าเจรจากับคู่แข่งหรือเข้าร่วมสมาคมการค้า/เวทีที่มีคู่แข่งรวมอยู่ และไม่แน่ใจว่าขอบเขตการพูดคุยอะไรปลอดภัย
ทนายที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมายแข่งขันในไทยจะช่วย:
- ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นและจัดลำดับความสำคัญเอกสารที่ควรจัดเตรียมก่อน
- ออกแบบกลยุทธ์การสื่อสารกับสำนักงาน กขค. ให้ชัดเจน ตรงประเด็น แต่ไม่เสียเปรียบเกินจำเป็น
- ออกแบบโครงสร้าง internal investigation และการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย
- เตรียมเส้นทางหากคดีต้องไปสู่ศาล ทั้งในแง่พยานหลักฐานและผู้เชี่ยวชาญ
ขั้นตอนต่อไปสำหรับผู้บริหารที่กำลังถูกสอบสวน
หากคุณอยู่ในสถานการณ์ถูกสอบสวนหรือคาดว่าจะถูกสอบในไม่ช้า การมี "Roadmap" ชัดเจนจะช่วยให้ทีมทำงานไปในทิศทางเดียวกันและลดความตื่นตระหนกลงได้มาก:
- ชั่วโมงแรก: ควบคุมสถานการณ์
- แจ้งข่าวเฉพาะผู้บริหารหลัก ฝ่ายกฎหมาย และฝ่าย IT
- ตรวจสอบหนังสือหรือหมายค้น ถ่ายสำเนา เก็บข้อมูลเจ้าหน้าที่ผู้มาตรวจ
- แต่งตั้งผู้ประสานงานกับสำนักงาน กขค. และติดต่อทนาย
- สัปดาห์แรก: ตั้งทีมและเก็บหลักฐาน
- ออกคำสั่ง legal hold เป็นลายลักษณ์อักษร
- ระบุระบบข้อมูลสำคัญ (อีเมล เซิร์ฟเวอร์ เอกสารกระดาษ) และเริ่มกระบวนการรวบรวม
- กำหนด scope ของ internal investigation ร่วมกับทนาย
- เดือนแรก: ประเมินความเสี่ยงและกลยุทธ์
- ทบทวนหลักฐานเบื้องต้น แยกประเด็นเสี่ยงสูง/ต่ำ
- ออกแบบกลยุทธ์ตอบคำถามและเอกสารที่จะส่งให้สำนักงาน กขค.
- กำหนดแนวทาง PR และการสื่อสารภายในองค์กร
- ระยะกลาง: ทำงานกับหน่วยงานกำกับและเตรียมความพร้อมกรณีไปศาล
- ติดตาม timeline การสอบสวนและกำหนดส่งเอกสาร
- พิจารณามาตรการแก้ไข/เยียวยาเชิงสมัครใจที่อาจช่วยลดผลกระทบ
- เตรียมพยาน ผู้เชี่ยวชาญ และเอกสารหากคดีมีแนวโน้มขึ้นสู่ศาล
- ระยะยาว: สร้างหรือปรับปรุงโปรแกรม compliance
- ใช้บทเรียนจากคดีมาอัปเดตนโยบายการตั้งราคา การทำสัญญา และการเจรจากับคู่แข่ง
- วางแผนอบรมและสื่อสารวัฒนธรรมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมให้ลึกขึ้นในองค์กร
สุดท้าย การถูกสอบสวนตามกฎหมายการแข่งขันไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยโทษสูงสุดเสมอไป หากบริษัทเข้าใจสิทธิของตน ตอบสนองอย่างมีระบบ วางกลยุทธ์ทั้งด้านกฎหมายและการสื่อสารอย่างรอบคอบ และลงทุนสร้างวัฒนธรรม "แข่งขันอย่างเป็นธรรม" ตั้งแต่วันนี้ โอกาสควบคุมความเสียหายและพลิกสถานการณ์ก็จะสูงขึ้นมาก
สำหรับข้อมูลกฎหมายศาลและกระบวนพิจารณาเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากเอกสารเผยแพร่ของศาลยุติธรรมที่ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ศาลยุติธรรม และสื่อความรู้ต่าง ๆ ของสำนักงาน กขค. ที่เผยแพร่สู่สาธารณะ.