ถูกสอบสวนกฎหมายแข่งขันทางการค้าใน Thailand ทำไงดี

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025
  • หากได้รับหนังสือสอบสวนหรือถูก "บุกตรวจ" (dawn raid) ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า นายจ้างและผู้บริหารต้องตอบสนองทันที จัดทีมกฎหมายภายใน-ภายนอก และหยุดทำลาย/ลบข้อมูลทุกชนิด
  • หน่วยงานหลักคือคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ซึ่งมีอำนาจเรียกเอกสาร สอบสวน ลงโทษทางปกครอง และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการดำเนินคดีอาญาได้
  • บริษัทและพยานมีสิทธิสำคัญ เช่น สิทธิให้ทนายความร่วมฟังการสอบสวน สิทธิขอสำเนาคำให้การ สิทธิขอปิดบังความลับทางการค้า และสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
  • การเตรียมข้อมูลอย่างมีระบบ การสื่อสารภายใน-ภายนอกอย่างรอบคอบ และการกำหนดจุดยืนเชิงกลยุทธ์ (จะต่อสู้หรือเจรจา) มีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงค่าปรับ ชื่อเสียง และความต่อเนื่องทางธุรกิจ
  • การสร้างโปรแกรม compliance ด้านการแข่งขันทางการค้าล่วงหน้า (นโยบาย ฝึกอบรม audit และคู่มือรับมือการตรวจค้น) ช่วยลดความเสี่ยงการถูกสอบสวน และหากถูกสอบจริง จะช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้นมาก

กำลังถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขันในไทย ควรเริ่มจากอะไร?

เมื่อบริษัทได้รับหนังสือสอบสวนหรือถูกเจ้าหน้าที่สำนักงาน กขค. เข้าตรวจสถานที่ สิ่งสำคัญที่สุดในชั่วโมงแรกคือ "หยุดความเสียหาย" ตั้งทีมรับมือ (investigation response team) จัดการข้อมูล เอกสาร และการสื่อสารให้เป็นระบบ และขอคำปรึกษาทนายที่มีประสบการณ์ทันที เพื่อไม่ให้การตอบสนองครั้งแรกกลายเป็นหลักฐานเสียเปรียบในภายหลัง

บทความนี้มุ่งตอบโจทย์ผู้บริหารและที่ปรึกษากฎหมายของธุรกิจ (B2B) ที่กำลังค้นหาทั้ง "ความเข้าใจภาพรวม" (Know) และ "วิธีลงมือรับมือและป้องกัน" (Do) ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าไทย โดยเน้นสิทธิการป้องกันและกลยุทธ์ตอบโต้แบบเป็นขั้นตอน

  • หากเพิ่งได้รับหนังสือจากสำนักงาน กขค. หรือมีเจ้าหน้าที่มาที่สำนักงาน ให้ถ่ายภาพ/สแกนเอกสารทุกฉบับ เก็บชื่อและตำแหน่งเจ้าหน้าที่ และแจ้งฝ่ายกฎหมายทันที
  • สั่ง "legal hold" ภายในบริษัท ห้ามทำลาย ลบ เคลื่อนย้าย หรือแก้ไขข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา เช่น อีเมล แชท เอกสารบน shared drive
  • แต่งตั้ง "ผู้ประสานงานกลาง" กับสำนักงาน กขค. เพียง 1-2 คน ลดความเสี่ยงจากการให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
  • ประเมินเบื้องต้นว่าข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมใด (ฮั้วราคา การใช้อำนาจเหนือตลาด การควบรวมกิจการ ฯลฯ) และมีธุรกิจใด/หน่วยงานรัฐอื่นเกี่ยวข้องบ้าง

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • หน่วยงานใดกันแน่ที่มีอำนาจสอบสวน และมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน?
  • ในฐานะบริษัทหรือพยาน เรามีสิทธิอะไรบ้างในการให้ข้อมูลหรือปฏิเสธไม่ตอบ?
  • ต้องเตรียมเอกสารและทีมภายในอย่างไรให้ "พร้อม" แต่ไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ?
  • จะบริหารความเสี่ยงด้านสื่อและชื่อเสียงแบรนด์อย่างไรระหว่างที่คดียังไม่จบ?

หน่วยงานใดมีอำนาจสอบสวนคดีการแข่งขันทางการค้าในไทย และขอบเขตอำนาจคืออะไร?

คดีการแข่งขันทางการค้าในไทยอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยมีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เป็นองค์กรกำกับหลัก และสำนักงาน กขค. เป็นฝ่ายปฏิบัติการที่ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน สืบสวน และเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ รวมถึงมีอำนาจออกคำสั่งและเปรียบเทียบปรับทางปกครองบางกรณีด้วย.(competition.law.gwu.edu)

โครงสร้างหลักของการบังคับใช้

  • คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.)
    • เป็นองค์กรอิสระที่กำกับดูแลและกำหนดนโยบายการแข่งขันทางการค้า รวมทั้งพิจารณาคดีที่ละเมิดกฎหมาย
    • มีอำนาจ:
      • มีมติให้เริ่มไต่สวนคดี
      • มีคำวินิจฉัยว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่
      • กำหนดมาตรการเยียวยาและลงโทษทางปกครอง เช่น สั่งปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำผิด (สำหรับบางความผิด)(oecd.org)
      • มอบหมายให้สำนักงาน กขค. ดำเนินการยื่นคำฟ้องต่อศาลในคดีอาญาที่เกี่ยวกับฮั้วและการใช้อำนาจเหนือตลาดบางประเภท
  • สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) / OTCC
    • เป็นหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่:
      • รับคำร้องเรียนจากประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจ
      • รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ตลาด และสืบสวนข้อเท็จจริง
      • ออกหนังสือเรียกเอกสาร สอบถามข้อเท็จจริง และเข้าตรวจสถานประกอบการ
      • เสนอความเห็นต่อ กขค. ว่าควรมีมติอย่างไรในแต่ละคดี

ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าถึงเอกสารเผยแพร่ความรู้ของสำนักงาน กขค. เกี่ยวกับองค์กรและขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายได้ที่ ฐานข้อมูลเผยแพร่ความรู้ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า.(catalog.tcct.or.th)

ขอบเขตอำนาจการสอบสวน

  • ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560
    • ครอบคลุมการกระทำร่วมกันที่เป็นการฮั้ว ผูกขาด ลดหรือจำกัดการแข่งขัน การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม และการประกอบธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม เช่น การกดราคาคู่ค้า SMEs อย่างรุนแรง(oecd.org)
    • ครอบคลุมการควบรวมกิจการที่อาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรืออำนาจเหนือตลาด (ทั้งแบบต้องขออนุญาตล่วงหน้า และแจ้งภายหลังการควบรวม)
  • อำนาจในการสืบสวนและตรวจค้น
    • เรียกให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งเอกสาร ข้อมูล หรือชี้แจงด้วยวาจา
    • เข้าตรวจสถานประกอบธุรกิจ (คล้าย "dawn raid") และตรวจค้น/ยึดเอกสารได้หากได้รับอนุญาตตามขั้นตอนกฎหมาย
    • ในกรณีฮั้วหรือใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างร้ายแรง คดีมีลักษณะเป็นอาญา ต้องส่งต่อให้พนักงานอัยการฟ้องต่อศาล
  • เขตอำนาจศาล
    • ข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าโดยทั่วไปอยู่ในเขตอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและศาลยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเคยถูกยืนยันโดยบทวิเคราะห์และแนวปฏิบัติของหน่วยงานต่างประเทศและนักวิชาการ.(thelegal.co.th)

คำถามติดตาม

  • ธุรกิจในกลุ่มรัฐวิสาหกิจหรือในอุตสาหกรรมที่มีหน่วยงานกำกับเฉพาะ (เช่น พลังงาน โทรคมนาคม) อยู่ภายใต้กฎหมายแข่งขันแค่ไหน?
  • สำนักงาน กขค. มีแนวโน้มใช้การ "ตรวจสอบเชิงรุก" (ex officio) มากขึ้นหรือไม่?

เมื่อถูกสอบสวน บริษัทและพยานมีสิทธิอะไรบ้างภายใต้กฎหมายการแข่งขันของไทย?

แม้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าจะให้อำนาจสอบสวนกว้าง แต่บริษัทและพยานไม่ได้ "ไร้สิทธิ" คุณมีสิทธิสำคัญ เช่น สิทธิให้ทนายร่วมฟังการสอบสวน สิทธิขอทราบข้อกล่าวหาและขอบเขตคำถาม สิทธิขอปิดบังข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า รวมถึงสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยต่อศาลที่มีอำนาจ.

สิทธิหลักของบริษัท (นิติบุคคล)

  • สิทธิให้มีทนายความเข้าร่วม
    • บริษัทสามารถให้ที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความเข้าร่วมการให้ถ้อยคำแก่เจ้าหน้าที่สำนักงาน กขค. ทั้งในรูปแบบการประชุม ตัวต่อตัว หรือผ่านเอกสารตอบคำถาม
    • หากเป็นการเข้าตรวจสถานที่ ควรแจ้งให้ทนายมาร่วมโดยเร็วที่สุด แม้การตรวจจะเริ่มก่อนทนายมาถึงก็ตาม
  • สิทธิขอทราบข้อกล่าวหาหรือประเด็นที่ถูกตรวจสอบ
    • มีสิทธิขอให้เจ้าหน้าที่อธิบายพื้นฐานข้อสงสัยหรือประเด็นทางกฎหมายคร่าว ๆ (เช่น ฮั้วประมูลในตลาดใด ช่วงเวลาใด) แม้อาจยังไม่ได้รับเอกสารเปิดเผยอย่างละเอียดในช่วงต้น
  • สิทธิในการขอคุ้มครองความลับทางการค้า
    • เมื่อส่งเอกสารหรือข้อมูลที่เป็นข้อมูลเชิงลึก เช่น สูตรราคา ฐานข้อมูลลูกค้า สามารถระบุให้เป็น "ข้อมูลลับทางการค้า" เพื่อให้สำนักงาน กขค. ดูแลตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลลับ และลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยต่อบุคคลที่สาม
  • สิทธิในการตรวจสอบสำเนาความเห็นและคำให้การ
    • สามารถขอสำเนาคำให้การหรือจดหมายโต้ตอบกับสำนักงาน กขค. เพื่อใช้ทบทวนภายในและเป็นแนวทางการให้ข้อมูลเพิ่มเติม
  • สิทธิอุทธรณ์/ฟ้องศาล
    • หากไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของ กขค. หรือสำนักงาน กขค. บริษัทมีสิทธิใช้กลไกศาล เช่น ฟ้องเพิกถอนคำสั่งทางปกครองต่อศาลปกครอง หรือโต้แย้งคดีอาญาต่อศาลยุติธรรมที่มีเขตอำนาจ ตามลักษณะของคดี

สิทธิของพยานและบุคคลธรรมดา

  • สิทธิให้ทนายความเข้าร่วม ในการให้คำให้การที่อาจมีผลกระทบต่อความรับผิดของตนหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง
  • สิทธิที่จะไม่ให้การปรักปรำตนเอง ตามหลักทั่วไปของกฎหมายอาญา หากคำถามมีลักษณะส่อไปว่าอาจทำให้ตนถูกกล่าวหาในภายหลัง ควรปรึกษาทนายก่อนตอบอย่างละเอียด
  • สิทธิขอใช้ล่าม หากไม่ถนัดการใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสอบสวน
  • สิทธิได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม ไม่ถูกข่มขู่ บีบบังคับ หรือหลอกลวงให้ให้การเท็จ

ข้อควรระวังสำคัญ

  • การ "เมินเฉย" ต่อหนังสือเรียกเอกสารหรือไม่ให้ความร่วมมือ อาจเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง มีโทษอาญาได้ เช่น จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับกรณีไม่ให้ข้อมูล และโทษสูงขึ้นสำหรับการขัดขวางการตรวจค้น.(oecd.org)
  • การทำลายหลักฐาน (ลบอีเมล ล้างโทรศัพท์ ทำลายเอกสาร) หลังทราบว่ามีการสอบสวน อาจถูกมองเป็นการขัดขวางการสอบสวนและถูกลงโทษหนักขึ้น

คำถามติดตาม

  • ในทางปฏิบัติ สำนักงาน กขค. ให้เวลานานเท่าไรในการตอบหนังสือเรียกเอกสาร และสามารถขอขยายเวลาได้ไหม?
  • ผู้บริหารต่างชาติที่อยู่ต่างประเทศแต่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องเดินทางมาให้การในไทยหรือไม่?

ถูกเรียกเอกสารและเข้าชี้แจง ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

เมื่อได้รับหนังสือเรียกเอกสารหรือคำชี้แจงจากสำนักงาน กขค. บริษัทควรตั้ง "โครงการจัดการเอกสาร" เฉพาะกิจ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบความครบถ้วนและความเสี่ยงในเนื้อหา พร้อมจัดทำคำอธิบายบริบททางธุรกิจประกอบ ไม่ใช่เพียงส่งเอกสารดิบแบบกระจัดกระจาย.

Checklist เอกสารและข้อมูลที่ควรเตรียม

หมวดข้อมูล ตัวอย่างที่มักถูกขอ ข้อควรระวัง
โครงสร้างธุรกิจและตลาด
  • โครงสร้างกลุ่มบริษัทและบริษัทย่อย
  • สินค้า/บริการหลัก และส่วนแบ่งตลาดโดยประมาณ
  • รายชื่อคู่แข่งหลัก ลูกค้ารายใหญ่ และซัพพลายเออร์สำคัญ
ตรวจสอบให้ข้อมูลล่าสุดและสอดคล้องกับรายงานที่เคยส่งให้หน่วยงานรัฐอื่น
นโยบายและเอกสารภายใน
  • policy ด้านราคา ส่วนลด โบนัส
  • คู่มือการขายและจัดจำหน่าย
  • สัญญากับคู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย แฟรนไชส์ ฯลฯ
ทบทวนเงื่อนไขที่อาจถูกตีความเป็นการจำกัดการแข่งขัน เช่น การบังคับราคา การห้ามขายคู่แข่ง
คำสั่งซื้อและข้อมูลเชิงปริมาณ
  • ยอดขายและราคาเฉลี่ยตามช่วงเวลา
  • ตารางราคา/ส่วนลดในช่วงที่ถูกสอบสวน
จัดรูปแบบให้อ่านง่าย แยกตามผลิตภัณฑ์/ลูกค้า เพื่อช่วยอธิบายเหตุผลทางธุรกิจของการเปลี่ยนแปลงราคา
การสื่อสารภายใน-ภายนอก
  • อีเมล แชท และบันทึกการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อสงสัย
  • การติดต่อกับคู่แข่ง (ถ้ามี) เช่น สมาคมการค้า เวทีประชุมร่วม
ต้องเก็บครบถ้วน ห้ามคัดเลือกเฉพาะส่วนที่ "ดูดี" และห้ามลบข้อความที่เสียหาย
ประวัติการปฏิบัติตามกฎหมาย
  • หลักฐานการอบรมกฎหมายแข่งขันให้พนักงาน
  • นโยบายห้ามฮั้วและการขออนุมัติการเจรจากับคู่แข่ง
มักถูกใช้เป็นเหตุพิจารณาลดโทษหรือสะท้อนว่าบริษัทมีเจตนาปฏิบัติตามกฎหมาย

ขั้นตอนการจัดการเอกสารอย่างมืออาชีพ

  1. ประกาศ "legal hold" ภายใน ให้ทุกคนหยุดลบหรือนำข้อมูลออกจากระบบ
  2. รวบรวมข้อมูลแบบ "กว้างก่อน แคบทีหลัง"
    • เริ่มจากการดึงข้อมูลตาม keyword ที่เกี่ยวข้องจากอีเมล เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ทำงาน
    • คัดแยกเอกสารที่ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องออกไปภายหลัง ด้วยการ review โดยทีมกฎหมาย
  3. จัดทำ "Privilege Log"
    • ระบุเอกสารที่มีลักษณะเป็นการให้คำปรึกษากับทนายความ เพื่อรักษาสิทธิในความลับของการปรึกษากฎหมายตามหลักทั่วไป
  4. เตรียม "เรื่องเล่า" (narrative)
    • ไม่ใช่ส่งแต่ข้อมูลตัวเลข แต่ควรแนบคำอธิบายบริบท เช่น การเปลี่ยนต้นทุน การแข่งขันรุนแรง การเข้าสู่ตลาดใหม่ ฯลฯ
  5. ตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างข้อมูลที่ส่งให้ กขค. กับข้อมูลที่เคยยื่นต่อหน่วยงานอื่น เช่น กรมสรรพากร กสทช. หรือสำนักงาน กกพ. (ถ้ามี)

คำถามติดตาม

  • สำนักงาน กขค. ยอมรับไฟล์ข้อมูลในรูปแบบใดบ้าง และควรเตรียม data room ดิจิทัลอย่างไร?
  • หากเอกสารบางส่วนอยู่ในต่างประเทศหรืออยู่กับบริษัทแม่ จะต้องขอความร่วมมืออย่างไรจึงไม่ช้าเกินกำหนด

ควรวางกลยุทธ์ตอบโต้และสื่อสารสาธารณะอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยง?

การตอบสนองต่อการสอบสวนกฎหมายแข่งขันไม่ใช่แค่การ "ทำตามหนังสือ" แต่คือการวางกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการป้องกันทางกฎหมาย การรักษาธุรกิจประจำวัน และการจัดการความเสี่ยงด้านชื่อเสียง บริษัทควรตั้ง "war room" ขนาดย่อมที่มีทั้งฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายธุรกิจ ฝ่ายสื่อสารองค์กร และหากจำเป็น ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์เข้าร่วม.

1) กลยุทธ์ทางกฎหมาย

  • ประเมินจุดเสี่ยงอย่างตรงไปตรงมา
    • review หลักฐานภายในก่อน เพื่อเข้าใจว่า "จุดอ่อน" อยู่ตรงไหน เช่น อีเมลที่ส่อการตกลงกับคู่แข่ง การกำหนดราคาเชิงกีดกัน หรือสัญญาที่อาจจำกัดคู่ค้า
    • แยกประเด็นที่มีความเสี่ยงสูง ปานกลาง และต่ำ เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการชี้แจง
  • กำหนดระดับความร่วมมือกับหน่วยงาน
    • สำหรับบางกรณี การให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน (เช่น ส่งข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว และนำเสนอมาตรการแก้ไข) อาจช่วยลดความเข้มข้นของมาตรการลงโทษ
    • อย่างไรก็ดี ไทยยังไม่มี leniency programme แบบเต็มรูปแบบสำหรับคดีฮั้ว/คาร์เทลเช่นในหลายประเทศ การ "ยอมรับผิด" ต้องชั่งน้ำหนักผลทางคดีอาญาและผลต่อการถูกฟ้องแพ่งควบคู่กัน.(oecd.org)
  • ประสานงานกับคู่ค้าหรือคู่กรณี
    • หากมีคู่ค้า/พันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยเดียวกัน ควรกำหนดขอบเขตการสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ไม่ให้กลายเป็นการ "ตกลงร่วมกัน" เพิ่มเติม
  • เตรียมเส้นทางสู่ศาล
    • ในคดีที่มีโทษอาญาหรือค่าปรับสูง ควรเตรียมกลยุทธ์การต่อสู้ในศาลตั้งแต่ช่วงสอบสวน เช่น การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญตลาด การเก็บข้อมูลเชิงเศรษฐศาสตร์ประกอบ

2) กลยุทธ์ด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์สาธารณะ (PR)

  • แต่งตั้ง "โฆษก" เพียงไม่กี่คน
    • หลีกเลี่ยงการให้ผู้บริหารหลายคนให้สัมภาษณ์หรือโพสต์โซเชียลเกี่ยวกับคดี ซึ่งอาจขัดแย้งกันเอง
  • กำหนดข้อความหลัก (key messages)
    • เช่น "บริษัทให้ความร่วมมือกับกระบวนการสอบสวนอย่างเต็มที่" "ยังไม่มีคำวินิจฉัยว่าบริษัทกระทำผิด" และย้ำความมุ่งมั่นในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
    • หลีกเลี่ยงการโจมตีคู่แข่งหรือหน่วยงานรัฐ เพราะอาจทำให้บรรยากาศการสอบสวนตึงเครียดขึ้น
  • สื่อสารภายในอย่างโปร่งใสแต่พอเหมาะ
    • แจ้งให้พนักงานทราบในระดับที่จำเป็น ว่ามีการสอบสวนและต้องปฏิบัติตาม legal hold อย่างไร
    • เตือนให้หลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นคดีในที่สาธารณะหรือบนโซเชียลมีเดียส่วนตัว
  • เตรียมการกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน (ถ้ามี)
    • ในบริษัทจดทะเบียน อาจต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อผู้ถือหุ้นและตลาดหลักทรัพย์ตามเกณฑ์ความมีนัยสำคัญ

คำถามติดตาม

  • ในกรณีที่ข่าวหลุดก่อนมีหนังสืออย่างเป็นทางการ บริษัทควรสื่อสารอย่างไร?
  • การทำ internal investigation ควบคู่กับการสอบสวนของสำนักงาน กขค. ควรตั้งอยู่บนกรอบไหนจึงจะไม่ขัดแย้งกัน?

จะป้องกันล่วงหน้าอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมายการแข่งขัน?

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการมี "โปรแกรม compliance ด้านการแข่งขันทางการค้า" ที่จริงจัง ไม่ใช่เพียงการจัดอบรมปีละครั้ง การมีนโยบายที่ชัดเจน ระบบอนุมัติการตั้งราคา/สัญญา และการตรวจสอบภายในอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสการละเมิดและเพิ่มคะแนนบรรเทาโทษหากเกิดเรื่อง.

องค์ประกอบของโปรแกรม compliance ที่ควรมี

  • นโยบายการแข่งขันทางการค้า (Competition Policy)
    • ระบุพฤติกรรมที่ห้ามอย่างชัดเจน เช่น ห้ามฮั้วราคา ห้ามแลกเปลี่ยนข้อมูลราคากับคู่แข่ง ห้ามตกลงแบ่งตลาด
    • กำหนดขั้นตอนการอนุมัติเมื่อจะเข้าร่วมประชุมสมาคมการค้าหรือประชุมที่มีคู่แข่งรวมอยู่ด้วย
  • การฝึกอบรมและคู่มือ
    • ฝึกอบรม onboarding สำหรับพนักงานขาย การตลาด และผู้บริหารทุกคน
    • อบรมเชิงลึกเป็นระยะ โดยใช้กรณีศึกษาจริงในไทยซึ่งสำนักงาน กขค. เผยแพร่ เช่น กรณีเกี่ยวกับการใช้อำนาจเหนือตลาดและการรวมธุรกิจเพื่อให้เข้าใจ "เส้นแบ่งที่ห้ามข้าม".(catalog.tcct.or.th)
  • ระบบตรวจสอบสัญญาและโครงการสำคัญ
    • สัญญาที่เกี่ยวกับการจำกัดการขาย การกำหนดราคา การผูกขาดพื้นที่ หรือการร่วมลงทุนกับคู่แข่ง ควรผ่านการ review โดยทีมกฎหมายแข่งขัน
    • โครงการควบรวม/ซื้อกิจการ ต้องได้รับการประเมินว่าต้องแจ้งหรือขออนุญาต กขค. หรือไม่
  • ช่องทางร้องเรียนภายใน (whistleblowing)
    • แม้ไทยยังไม่มี leniency programme เต็มรูปแบบในกฎหมายแข่งขัน แต่การเปิดให้พนักงานแจ้งเบาะแสภายในช่วยให้บริษัทรู้ปัญหาก่อนหน่วยงานรัฐ
  • คู่มือรับมือ "การตรวจค้นโดยไม่แจ้งล่วงหน้า" (Dawn Raid Manual)
    • อธิบายขั้นตอนเมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงสำนักงาน ใครต้องทำอะไร ติดต่อใคร ตรวจสอบคำสั่งค้นอย่างไร และขอบเขตการให้ความร่วมมือ

คำถามติดตาม

  • บริษัทขนาดกลาง-เล็กควรเริ่มต้นทำ compliance ด้วยงบประมาณจำกัดอย่างไร?
  • การใช้ e-learning ของสำนักงาน กขค. หรือหน่วยงานรัฐอื่นช่วยลดความเสี่ยงได้แค่ไหน?

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขัน

ความเข้าใจผิดทำให้หลายบริษัทตัดสินใจผิดในช่วงเวลาสำคัญ นำไปสู่โทษหนักหรือความเสียหายต่อชื่อเสียงที่ไม่จำเป็น.

  • "คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่ค่าปรับไม่กี่แสน"
    • ความจริง: สำหรับการกระทำร้ายแรงเช่น ฮั้วประมูลหรือฮั้วราคา ค่าปรับทางอาญาอาจสูงถึง 10% ของรายได้ในปีที่กระทำผิด และมีโทษจำคุกสำหรับผู้บริหารที่เกี่ยวข้องได้.(oecd.org)
  • "อีเมล/แชทส่วนตัวใช้เป็นหลักฐานไม่ได้"
    • ความจริง: การสื่อสารผ่านอีเมลบริษัท แอปแชทที่ใช้เพื่อธุรกิจ หรืออุปกรณ์ที่บริษัทออกให้ สามารถถูกตรวจสอบและนำมาเป็นหลักฐานได้ หากศาลอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • "ทำตามราคาคู่แข่งเสมอจึงปลอดภัย"
    • ความจริง: การ "ตามราคาคู่แข่ง" โดยไม่มีการตกลงร่วมกันมักไม่ผิดกฎหมาย แต่หากมีการสื่อสารหรือส่งสัญญาณระหว่างกันจนเสมือนตกลงกัน ก็อาจถูกมองเป็นฮั้วราคาได้

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเมื่อธุรกิจถูกสอบสวนโดย กขค.

ถ้าไม่ส่งเอกสารให้สำนักงาน กขค. จะเกิดอะไรขึ้น?

การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ส่งเอกสารหรือไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล อาจเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง มีโทษปรับและจำคุก (เช่น จำคุกไม่เกิน 3 เดือนและปรับในบางกรณี) แยกจากความผิดแข่งขันทางการค้าหลัก.(oecd.org) การชี้แจงอย่างมืออาชีพและหากจำเป็นให้ทนายช่วยขอขยายเวลาจะปลอดภัยกว่าการเพิกเฉย

กระบวนการสอบสวนใช้เวลานานแค่ไหน?

ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของตลาด จำนวนฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และปริมาณเอกสาร ในทางปฏิบัติ การสืบสวนหลายคดีใช้เวลาตั้งแต่หลายเดือนจนถึงหลายปี โดยเฉพาะคดีฮั้วและใช้อำนาจเหนือตลาด ซึ่งหน่วยงานระหว่างประเทศอย่าง OECD เคยระบุว่าการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันในไทยยังต้องใช้ทรัพยากรและเวลามากในแต่ละคดี.(oecd.org)

จะเจรจายอมรับผิดเพื่อลดโทษได้หรือไม่?

ไทยยังไม่มีระบบ leniency เต็มรูปแบบ แต่ในระดับปฏิบัติ การยอมรับข้อเท็จจริงบางประการ การให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และการนำเสนอมาตรการแก้ไข/เยียวยา อาจมีผลต่อการพิจารณาโทษ อย่างไรก็ตามการ "ยอมรับผิด" ต้องชั่งน้ำหนักผลทางอาญา แพ่ง และชื่อเสียงกับทนายที่มีประสบการณ์ก่อนตัดสินใจ.(oecd.org)

คดีแข่งขันในไทยต้องขึ้นศาลไหน?

คดีแข่งขันที่เป็นอาญาหรือข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าโดยทั่วไปจะอยู่ในระบบศาลยุติธรรม โดยมีศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเป็นศาลเฉพาะทางที่มีอำนาจในหลายกรณี ส่วนคำสั่งทางปกครองของ กขค. อาจถูกโต้แย้งต่อศาลปกครองตามลักษณะของคดี.(thelegal.co.th)

บริษัทต่างชาติที่ไม่มีนิติบุคคลในไทย จะถูกสอบสวนได้ไหม?

หากพฤติกรรมของบริษัทต่างชาติมีผลกระทบต่อตลาดไทย (เช่น กำหนดราคาหรือฮั้วการประมูลสินค้าที่ขายในไทย) ก็มีโอกาสถูกหน่วยงานไทยสอบสวนหรือเรียกข้อมูลได้ โดยเฉพาะเมื่อมีบริษัทย่อย ตัวแทนจำหน่าย หรือคู่ค้าในไทยที่เกี่ยวข้อง

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความด้านกฎหมายการแข่งขัน?

สำหรับคดีแข่งขันทางการค้า การมีทนายที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านตั้งแต่ต้นช่วยลดความเสี่ยงผิดพลาดได้มาก ควรพิจารณาจ้างทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ต่อไปนี้:

  • ได้รับหนังสือจากสำนักงาน กขค. ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสอบถามข้อมูล หนังสือเรียกเอกสาร หรือหนังสือเชิญชี้แจง
  • ถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสำนักงาน (dawn raid) หรือมีการเก็บคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์เป็นหลักฐาน
  • พบ "สัญญาณเตือน" ภายใน เช่น อีเมลที่พูดถึงการตกลงราคา/แบ่งตลาดกับคู่แข่ง การร้องเรียนจากคู่ค้าเรื่องการใช้อำนาจเหนือตลาด หรือแผนควบรวมกิจการขนาดใหญ่
  • กำลังจะเข้าเจรจากับคู่แข่งหรือเข้าร่วมสมาคมการค้า/เวทีที่มีคู่แข่งรวมอยู่ และไม่แน่ใจว่าขอบเขตการพูดคุยอะไรปลอดภัย

ทนายที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมายแข่งขันในไทยจะช่วย:

  • ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นและจัดลำดับความสำคัญเอกสารที่ควรจัดเตรียมก่อน
  • ออกแบบกลยุทธ์การสื่อสารกับสำนักงาน กขค. ให้ชัดเจน ตรงประเด็น แต่ไม่เสียเปรียบเกินจำเป็น
  • ออกแบบโครงสร้าง internal investigation และการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย
  • เตรียมเส้นทางหากคดีต้องไปสู่ศาล ทั้งในแง่พยานหลักฐานและผู้เชี่ยวชาญ

ขั้นตอนต่อไปสำหรับผู้บริหารที่กำลังถูกสอบสวน

หากคุณอยู่ในสถานการณ์ถูกสอบสวนหรือคาดว่าจะถูกสอบในไม่ช้า การมี "Roadmap" ชัดเจนจะช่วยให้ทีมทำงานไปในทิศทางเดียวกันและลดความตื่นตระหนกลงได้มาก:

  1. ชั่วโมงแรก: ควบคุมสถานการณ์
    • แจ้งข่าวเฉพาะผู้บริหารหลัก ฝ่ายกฎหมาย และฝ่าย IT
    • ตรวจสอบหนังสือหรือหมายค้น ถ่ายสำเนา เก็บข้อมูลเจ้าหน้าที่ผู้มาตรวจ
    • แต่งตั้งผู้ประสานงานกับสำนักงาน กขค. และติดต่อทนาย
  2. สัปดาห์แรก: ตั้งทีมและเก็บหลักฐาน
    • ออกคำสั่ง legal hold เป็นลายลักษณ์อักษร
    • ระบุระบบข้อมูลสำคัญ (อีเมล เซิร์ฟเวอร์ เอกสารกระดาษ) และเริ่มกระบวนการรวบรวม
    • กำหนด scope ของ internal investigation ร่วมกับทนาย
  3. เดือนแรก: ประเมินความเสี่ยงและกลยุทธ์
    • ทบทวนหลักฐานเบื้องต้น แยกประเด็นเสี่ยงสูง/ต่ำ
    • ออกแบบกลยุทธ์ตอบคำถามและเอกสารที่จะส่งให้สำนักงาน กขค.
    • กำหนดแนวทาง PR และการสื่อสารภายในองค์กร
  4. ระยะกลาง: ทำงานกับหน่วยงานกำกับและเตรียมความพร้อมกรณีไปศาล
    • ติดตาม timeline การสอบสวนและกำหนดส่งเอกสาร
    • พิจารณามาตรการแก้ไข/เยียวยาเชิงสมัครใจที่อาจช่วยลดผลกระทบ
    • เตรียมพยาน ผู้เชี่ยวชาญ และเอกสารหากคดีมีแนวโน้มขึ้นสู่ศาล
  5. ระยะยาว: สร้างหรือปรับปรุงโปรแกรม compliance
    • ใช้บทเรียนจากคดีมาอัปเดตนโยบายการตั้งราคา การทำสัญญา และการเจรจากับคู่แข่ง
    • วางแผนอบรมและสื่อสารวัฒนธรรมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมให้ลึกขึ้นในองค์กร

สุดท้าย การถูกสอบสวนตามกฎหมายการแข่งขันไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยโทษสูงสุดเสมอไป หากบริษัทเข้าใจสิทธิของตน ตอบสนองอย่างมีระบบ วางกลยุทธ์ทั้งด้านกฎหมายและการสื่อสารอย่างรอบคอบ และลงทุนสร้างวัฒนธรรม "แข่งขันอย่างเป็นธรรม" ตั้งแต่วันนี้ โอกาสควบคุมความเสียหายและพลิกสถานการณ์ก็จะสูงขึ้นมาก

สำหรับข้อมูลกฎหมายศาลและกระบวนพิจารณาเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากเอกสารเผยแพร่ของศาลยุติธรรมที่ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ศาลยุติธรรม และสื่อความรู้ต่าง ๆ ของสำนักงาน กขค. ที่เผยแพร่สู่สาธารณะ.

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม