ธุรกิจไทยรับมือกฎหมายส่งออกและคว่ำบาตรต่างประเทศใน Thailand

อัปเดตเมื่อ Dec 10, 2025

การปฏิบัติตามข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตรสำหรับธุรกิจไทย

จุดประสงค์การค้นหา: เข้าใจ (Know) + ลงมือทำ (Do) - สำหรับผู้บริหาร/ฝ่ายกฎหมาย/ฝ่ายส่งออกที่ต้องการตั้งระบบ Compliance จริงจัง

กลุ่มเป้าหมาย: B2B - บริษัทไทยที่ส่งออกสินค้า เทคโนโลยี หรือทำธุรกรรมระหว่างประเทศ (รวมถึงซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ของบริษัทข้ามชาติ)

  • ธุรกิจไทยต้องปฏิบัติตามทั้งกฎหมายไทย (เช่น กฎหมายควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และกฎหมายฟอกเงิน) และข้อจำกัด/คว่ำบาตรของต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับคู่ค้า
  • การตรวจสอบคู่ค้า (KYC/Customer Due Diligence) และการคัดกรองรายชื่อคว่ำบาตร เป็นแนวปฏิบัติพื้นฐานที่ควรทำก่อนรับลูกค้าและทุกครั้งที่มีดีลเสี่ยงสูง
  • สินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items) และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง อาจต้องขอใบอนุญาตส่งออกจากกรมการค้าต่างประเทศก่อนส่งออก
  • การฝ่าฝืนข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตร เสี่ยงโทษอาญา ปรับจำนวนมาก การยึดสินค้า และอาจถูกสั่งห้ามทำธุรกรรมดอลลาร์หรือเข้าตลาดสำคัญอย่างสหรัฐ/อียู
  • การมีนโยบาย Compliance ภายใน (Internal Compliance Program: ICP) ระบบอบรม และ workflow ตรวจสอบที่ชัดเจน ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก และเป็นจุดแข็งในการเจรจากับคู่ค้าต่างชาติ
  • หากพบสัญญาณว่ามีการละเมิด ควร "หยุด - เก็บหลักฐาน - ประเมินความเสี่ยง - ติดต่อที่ปรึกษากฎหมาย" โดยเร็ว เพื่อจำกัดความเสียหายและจัดการการรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม

ทำไมการปฏิบัติตามข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตรจึงสำคัญสำหรับธุรกิจไทย?

ธุรกิจไทยเผชิญทั้งแรงกดดันจากคู่ค้าระดับโลกและกฎหมายไทยที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการควบคุมสินค้าใช้ได้สองทาง (DUI) และการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธทำลายล้างสูง รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศที่ผูกกับระบบการเงินโลก. หากไม่จัดการ Compliance อย่างเป็นระบบ บริษัทอาจถูกตัดขาดจากตลาดสำคัญ เสียชื่อเสียง และเผชิญโทษทางแพ่งและอาญาได้.

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไทยได้ออกกฎหมายและมาตรการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ WMD และ DUI รวมถึงมาตรการ End-Use/End-User Control (EUEUC) และระบบ Internal Compliance Program (ICP) ภายใต้การกำกับของกระทรวงพาณิชย์/กรมการค้าต่างประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานให้สอดคล้องกับมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและความคาดหวังของคู่ค้าระดับโลก. (thailand.go.th)

ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงาน ปปง. (AMLO) ก็ยกระดับแนวทางสำหรับสถาบันการเงิน ให้ประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านคว่ำบาตร โดยเฉพาะธุรกรรมกับประเทศ/บุคคลความเสี่ยงสูงและสินค้า DUI ซึ่งส่งผลทางอ้อมมายังผู้ส่งออกทุกระดับ. (bot.or.th)

1) ผู้ส่งออกไทยควรตรวจสอบคู่ค้าต่างประเทศและทำ KYC อย่างไร?

ธุรกิจไทยควรมีขั้นตอนทำความรู้จักลูกค้าและคู่ค้า (Know Your Customer - KYC) และตรวจสอบสถานะคว่ำบาตรอย่างเป็นระบบก่อนทำธุรกรรมทุกครั้งที่มีความเสี่ยง ทั้งในส่วนของบริษัท คู่สัญญาที่แท้จริง (Ultimate Beneficial Owner - UBO) และประเทศปลายทาง. การทำ KYC อย่างเป็นทางการช่วยลดโอกาสที่ธุรกิจของคุณจะถูกใช้เป็นช่องทางหลีกเลี่ยงคว่ำบาตร หรือพัวพันกับการฟอกเงินและการจัดหาอาวุธ.

ขั้นตอนพื้นฐานของ KYC/Due Diligence สำหรับผู้ส่งออก

แนวคิดคือ "รู้ให้ลึกทั้งคน สินค้า และเส้นทางเงิน/สินค้า" ก่อนจะรับดีล โดยปกติควรมีอย่างน้อยดังนี้:

  • รวบรวมข้อมูลเอกสาร เช่น หนังสือรับรองนิติบุคคล รายชื่อกรรมการ/ผู้ถือหุ้นสำคัญ สำเนาหนังสือเดินทางของ UBO สัญญาซื้อขาย เอกสารขนส่ง
  • ตรวจเช็คฐานข้อมูลคว่ำบาตร
    • ตรวจรายชื่อบุคคล/นิติบุคคลในบัญชีคว่ำบาตรของ UN, สหรัฐ (OFAC), EU, UK ฯลฯ
    • ตรวจประเทศปลายทางว่าอยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงสูงตาม FATF หรือประกาศของ AMLO/ธปท. หรือไม่
  • วิเคราะห์โครงสร้างกลุ่มบริษัทและ UBO เพื่อตรวจว่ามีบุคคล/นิติบุคคลที่ถูกคว่ำบาตรแฝงอยู่ในโครงสร้างหรือไม่
  • ตรวจสอบรูปแบบธุรกิจและเหตุผลทางพาณิชย์ เช่น ปริมาณการสั่งซื้อสอดคล้องกับขนาดลูกค้าหรือไม่ ราคาซื้อขาย/เงื่อนไขจ่ายเงินมีเหตุผลหรือแปลกไปจากตลาดอย่างผิดปกติหรือไม่
  • เก็บบันทึกและหลักฐาน ทุกขั้นตอนการตรวจสอบ ควรถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ เพื่ออ้างอิงได้เมื่อถูกหน่วยงานไทยหรือต่างประเทศตรวจสอบย้อนหลัง

การใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบคู่ค้า

ธุรกิจที่มีปริมาณดีลสูงควรพิจารณาใช้ระบบคัดกรอง (screening tools) ที่เชื่อมต่อฐานข้อมูลรายชื่อคว่ำบาตรระดับสากล และสามารถตั้ง alert เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อหรือประเทศความเสี่ยงสูง. นอกจากนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้า DUI ควรเรียนรู้การใช้ระบบ e-TCWMD/e-Classification ของกรมการค้าต่างประเทศเพื่อช่วยจำแนกสินค้าและประเมิน end-user/end-use. (tcwmd.dft.go.th)

Checklist สั้นๆ ก่อนเริ่มดีลกับลูกค้าต่างประเทศ

  • มีสำเนาเอกสารจดทะเบียนบริษัท/หนังสือรับรองล่าสุดของลูกค้าหรือไม่
  • รู้แล้วหรือยังว่าใครคือ UBO ที่แท้จริง และตรวจชื่อในลิสต์คว่ำบาตรแล้วหรือยัง
  • ประเทศปลายทาง/เส้นทางขนส่งมีความเสี่ยงสูงหรือถูกคว่ำบาตรบางส่วนหรือไม่
  • มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุ end-use และ end-user ชัดเจนหรือไม่
  • เก็บ log การตรวจสอบทั้งหมดไว้ในระบบแล้วหรือยัง

คำถามติดตามที่อาจต้องคิดต่อ

  • ควรใช้ซอฟต์แวร์ screening แบบใดให้เหมาะกับขนาดธุรกิจ
  • ควรตั้ง risk scoring ของลูกค้าอย่างไร (เช่น คะแนนตามประเทศ สินค้า ช่องทางชำระเงิน)
  • เมื่อเจอ "match" กับรายการคว่ำบาตร ควรจัดการอย่างไรและใครมีอำนาจอนุมัติ/ปฏิเสธดีล

2) สินค้าใดอยู่ภายใต้ข้อจำกัดและต้องขออนุญาตส่งออก?

สินค้าเสี่ยงสูงไม่ได้มีแค่ "อาวุธ" ในความหมายทั่วไป แต่รวมถึงสินค้าใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items: DUI) เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลหนัก ซอฟต์แวร์ และเคมีภัณฑ์ที่อาจถูกนำไปใช้เกี่ยวข้องกับอาวุธทำลายล้างสูง. ภายใต้กฎหมายไทย ปัจจุบันกรมการค้าต่างประเทศใช้นโยบายควบคุม DUI โดยอ้างอิงรายการสินค้ามาตรฐานของสหภาพยุโรป และกำลังทยอยใช้ระบบ Licensing สำหรับบางหมวดสินค้า.

กรอบกฎหมายไทยเกี่ยวกับ DUI และ WMD

  • พระราชบัญญัติสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 (มักเรียก WMD/TCWMD Act)
    • ควบคุมกิจกรรมเกี่ยวกับสินค้าที่อาจใช้เกี่ยวข้องกับการพัฒนา/ผลิต/ขนส่งอาวุธทำลายล้างสูง
    • กำหนดมาตรการขอใบอนุญาต (licensing), การรับรองระบบ ICP, มาตรการ End-Use/End-User Control ฯลฯ
  • ประกาศ/ระเบียบของกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าต่างประเทศ เกี่ยวกับ:
    • บัญชีสินค้าควบคุม (Dual-Use List, National Control List)
    • หลักเกณฑ์การรับรองระบบ ICP
    • มาตรการ EUEUC (กรณี end-use/end-user น่าสงสัย แม้สินค้าไม่อยู่ในบัญชี)

ระบบ DUI และ ICP ของไทยถูกออกแบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และใช้การอ้างอิงรายการสินค้าจาก EU Dual-Use List เป็นฐาน. (thailand.go.th)

พัฒนาการล่าสุด: Licensing สำหรับสินค้า DUI

แนวโน้มล่าสุดคือการยกระดับจากระบบ "ขึ้นทะเบียน/รับรอง" ไปสู่การใช้ "ใบอนุญาตส่งออก (Licensing)" สำหรับหมวดสินค้าที่เสี่ยงสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์และเทคโนโลยีขั้นสูง. เริ่มจากหมวด Category 0 (สินค้าที่เกี่ยวกับนิวเคลียร์ เช่น วัสดุนิวเคลียร์ เครื่องจักรเฉพาะ และอุปกรณ์เทคนิคที่เกี่ยวข้อง) และมีแผนขยายไปหมวดอื่นๆ ในระยะถัดไป. (mondaq.com)

ขั้นตอนพื้นฐานเมื่อต้องการทราบว่าสินค้าของบริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมหรือไม่

  1. จำแนกสินค้าของคุณ ตามพิกัดศุลกากร (HS Code) และคุณสมบัติทางเทคนิค
  2. ตรวจในระบบ e-TCWMD/e-Classification ของกรมการค้าต่างประเทศ ว่าสินค้าตรงกับรายการ DUI ใดหรือไม่
  3. ประเมิน end-use และ end-user
    • ใช้แบบฟอร์มรับรองการใช้สินค้า (End-Use Certificate) และข้อมูลลูกค้า
    • หากมีความเสี่ยงว่าอาจเกี่ยวข้องกับ WMD แม้สินค้าไม่อยู่ในรายการ ก็อาจเข้าข่ายมาตรการ EUEUC
  4. สอบถามกรมการค้าต่างประเทศเมื่อไม่แน่ใจ โดยเฉพาะกรณีสินค้าเทคโนโลยีใหม่ หรืออยู่ใกล้ "เส้นแบ่ง" ของข้อกำหนดด้านเทคนิค

การขอใบอนุญาตส่งออก (Export License) เบื้องต้น

สำหรับสินค้าที่ถูกกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตส่งออก ผู้ส่งออกควรเตรียมเอกสาร เช่น ข้อมูลสินค้าเชิงเทคนิค (Technical Sheet), สัญญาซื้อขาย, ใบรับรอง End-Use/End-User, และข้อมูลบริษัทปลายทาง เพื่อยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมการค้าต่างประเทศ (เช่น e-DUI Licensing เมื่อเปิดใช้เต็มรูปแบบ). การมีระบบ ICP ภายในที่ชัดเจนอาจช่วยให้ได้รับการพิจารณาที่ราบรื่นขึ้น.

คำถามติดตามที่ควรคิดต่อ

  • สินค้าหลักของบริษัท (เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือแพทย์ ซอฟต์แวร์เข้ารหัส) เสี่ยงเข้าข่าย DUI หรือไม่
  • ควรแต่งตั้ง "Product Classification Champion" หรือทีมรับผิดชอบจำแนกสินค้าภายในหรือไม่
  • หากต้องขอใบอนุญาต จะกระทบ lead time และสัญญาการส่งมอบกับลูกค้าอย่างไร ควรวาง buffer อย่างน้อยกี่วัน

3) บทลงโทษทางแพ่งและอาญาหากฝ่าฝืนข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตรมีอะไรบ้าง?

การฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ WMD และ DUI หรือส่งออกโดยไม่ขอใบอนุญาต ทั้งในไทยและภายใต้กฎหมายต่างประเทศ อาจมีโทษจำคุก โทษปรับ การยึดทรัพย์ และการถูกขึ้นบัญชีดำที่กระทบการทำธุรกรรมระยะยาว. แม้บทลงโทษในทางปฏิบัติขึ้นกับข้อเท็จจริงและดุลพินิจ แต่แนวโน้มคือ "เข้มงวดขึ้น" ไม่ใช่ "ผ่อนคลายลง".

ตัวอย่างโทษภายใต้กฎหมายไทย (WMD/TCWMD Act)

  • หากทำกิจกรรมที่ต้องได้รับใบอนุญาต โดยไม่ขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง
    • อาจมีโทษจำคุกไม่เกินประมาณ 2 ปี และ/หรือปรับไม่เกินประมาณ 200,000 บาท
  • หากทำความผิดโดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับการใช้สินค้าเพื่อก่อหรือพัฒนา WMD หรือสร้างอันตรายร้ายแรง
    • โทษอาจเพิ่มเป็นจำคุกสูงถึงประมาณ 10 ปี และปรับสูงถึง 1,000,000 บาท พร้อมการริบสินค้าและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับความผิด

ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่างระดับโทษตามบทวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติฯ และควรตรวจสอบกับบทบัญญัติล่าสุดหรือปรึกษาทนายความทุกครั้งก่อนประเมินความเสี่ยง. (sanctionsnews.bakermckenzie.com)

ความเสี่ยงจากกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศ

แม้บริษัทจะอยู่ในไทย แต่หากส่งออกสินค้าไปประเทศที่มีมาตรการคว่ำบาตรเข้มงวด หรือทำธุรกรรมในดอลลาร์สหรัฐผ่านธนาคารต่างประเทศ บริษัทก็อาจอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายของประเทศนั้น เช่น:

  • กฎหมายคว่ำบาตรสหรัฐ (OFAC)
    • หากมีการจัดหาสินค้าหรืออำนวยความสะดวกให้บุคคล/ธุรกิจที่ถูกคว่ำบาตร บริษัทอาจถูกปรับจำนวนมาก ถูกแบนจากระบบดอลลาร์สหรัฐ หรือถูกขึ้นบัญชี SDN
  • มาตรการของสหภาพยุโรป/สหราชอาณาจักร
    • อาจมีผลต่อการเข้าถึงตลาด การขนส่ง และการใช้บริการทางการเงินของคู่ค้าในยุโรป

ผลกระทบทางธุรกิจที่มักถูกมองข้าม

  • ธนาคารในไทยอาจปฏิเสธทำธุรกรรมให้ หากดีลนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดคว่ำบาตรตามแนวทางของธปท./AMLO
  • คู่ค้าข้ามชาติอาจยกเลิกสัญญา หรือกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นอย่างถาวร หากพบว่าบริษัทไม่มีระบบ Compliance เพียงพอ
  • ความเสียหายด้านชื่อเสียง (reputational damage) ที่ยากจะแก้ไข แม้ในท้ายที่สุดจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิดก็ตาม

คำถามติดตามที่อาจต้องพิจารณา

  • โครงสร้างธุรกิจ/ห่วงโซ่อุปทานของบริษัท เสี่ยงถูกมองว่าเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงคว่ำบาตรหรือไม่
  • หากเกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานต่างประเทศ บริษัทมีทรัพย์สินหรือบัญชีธนาคารในเขตอำนาจศาลนั้นๆ หรือไม่ (เสี่ยงถูกอายัด)
  • บริษัทควรทำ "sanctions risk assessment" ระดับกลุ่มบริษัทอย่างไร

4) จะจัดทำนโยบาย Compliance และอบรมพนักงานอย่างไรให้ใช้งานได้จริง?

การมี "เอกสารนโยบายสวยๆ" ไม่เพียงพออีกต่อไป ธุรกิจไทยควรมีระบบ Internal Compliance Program (ICP) ที่ออกแบบให้เข้ากับรูปแบบสินค้า ลูกค้า และเส้นทางการขนส่งของตนเอง พร้อมทั้งสื่อสารและอบรมให้พนักงานเข้าใจและปฏิบัติได้จริง. ICP ที่ดีช่วยลดความเสี่ยงทั้งทางกฎหมายและทางธุรกิจ และมักได้รับการยอมรับจากหน่วยงานรัฐและคู่ค้าต่างชาติ. (thailand.go.th)

องค์ประกอบหลักของ ICP ตามแนวปฏิบัติของกรมการค้าต่างประเทศ

องค์ประกอบ ตัวอย่างในทางปฏิบัติ
1. โครงสร้างความรับผิดชอบที่ชัดเจน แต่งตั้ง "Export Compliance Officer" และคณะทำงาน กำหนดสิทธิอนุมัติและลำดับการรายงานเมื่อพบความเสี่ยง
2. กระบวนการตรวจสอบ End-Use/End-User แบบฟอร์ม End-Use Certificate, ขั้นตอน KYC และการคัดกรองรายชื่อคว่ำบาตรก่อนทุกดีลที่เสี่ยงสูง
3. การอบรมพนักงาน จัดอบรมประจำปีให้ฝ่ายขาย ฝ่ายโลจิสติกส์ ฝ่ายบัญชีและการเงิน เกี่ยวกับ DUI, คว่ำบาตร และ red flags
4. ระบบบันทึกเอกสารและข้อมูล เก็บสัญญา ใบอนุญาตส่งออก หลักฐาน KYC และ log การตรวจสอบทั้งหมด เป็นระยะเวลาอย่างน้อยตามข้อกำหนด
5. การตรวจประเมินภายใน (Audit) ทบทวนตัวอย่างดีลบางส่วนทุกปี ตรวจว่าทุกขั้นตอนปฏิบัติตามนโยบายหรือไม่ และบันทึกแผนแก้ไข
6. ช่องทางแจ้งเบาะแสและการรายงาน เปิดช่องทางให้พนักงานและคู่ค้าสามารถรายงานข้อสงสัยโดยไม่ถูกลงโทษ (whistleblowing) พร้อมกระบวนการสอบสวนภายใน

แนวทางจัดทำและปรับใช้ ICP ให้เหมาะกับขนาดธุรกิจ

  • ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง (SME)
    • อาจเริ่มจากนโยบาย/คู่มือสั้นๆ 5-10 หน้า ที่เน้นขั้นตอนสำคัญ (KYC, product check, approval) และแบบฟอร์มง่ายๆ
    • ใช้เครื่องมือฟรี/ต้นทุนต่ำสำหรับคัดกรองรายชื่อคว่ำบาตร และปรับใช้ระบบเอกสารที่มีอยู่ เช่น ERP, Google Drive
  • ธุรกิจขนาดใหญ่หรือกลุ่มบริษัท
    • ควรสร้างโครงสร้าง Governance ที่ชัดเจน มีคณะกรรมการกำกับและรายงานตรงถึงบอร์ด
    • ลงทุนในระบบ screening/monitoring ระดับองค์กร และอบรมเชิงลึกให้กับ "key risk functions"

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

  • การจัดทำนโยบายและ ICP ภายในเอง: ค่าใช้จ่ายหลักคือเวลาและค่าทรัพยากรบุคคล อาจใช้ต้นทุนหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ขึ้นกับขนาดองค์กรและการใช้ที่ปรึกษาภายนอกหรือไม่
  • ซอฟต์แวร์ screening/compliance: มีตั้งแต่แพ็กเกจเริ่มต้นที่คิดตามจำนวนชื่อที่ตรวจต่อปี ไปจนถึงระบบ enterprise ที่เชื่อม API กับ ERP ซึ่งอาจอยู่ในระดับหลายแสนถึงหลักล้านบาทต่อปี
  • การอบรมพนักงาน: ถ้าอบรมภายใน ค่าใช้จ่ายอาจจำกัดเฉพาะเวลาพนักงาน แต่หากจ้างวิทยากรหรือทนายความมาบรรยาย ก็อาจอยู่ที่หลักหมื่น-หลักแสนบาทต่อครั้ง ขึ้นกับรูปแบบและจำนวนผู้เข้าร่วม

คำถามติดตามที่ควรคิดต่อ

  • บริษัทควรขอการรับรอง ICP จากกรมการค้าต่างประเทศหรือไม่ เพื่อใช้เป็น "ตราประทับความน่าเชื่อถือ" กับคู่ค้าต่างชาติ
  • ควรวัดผลความสำเร็จของ ICP อย่างไร (เช่น จำนวนดีลที่ถูกหยุดเพราะพบความเสี่ยง, จำนวน red flags ที่ได้รับการจัดการ)
  • จะบูรณาการ ICP ด้านส่งออกเข้ากับ compliance อื่นๆ เช่น AML, ESG, ข้อมูลส่วนบุคคล ได้อย่างไร

5) หากตรวจพบการละเมิดหรือความเสี่ยงสูง ควรทำอย่างไรและเมื่อไหร่ต้องติดต่อที่ปรึกษากฎหมาย?

เมื่อพบเบาะแสว่ามีการละเมิดข้อบังคับส่งออกหรือคว่ำบาตร ไม่ว่าจะมาจากพนักงานภายใน คู่ค้าภายนอก หรือธนาคาร สิ่งสำคัญคือ "หยุด-ประเมิน-สื่อสาร-จัดการ" อย่างเป็นระบบ ไม่ควรรีบดำเนินการต่อโดยหวังว่าปัญหาจะเงียบไปเอง. การขอคำแนะนำจากทนายความที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศและคว่ำบาตรตั้งแต่ระยะต้น ช่วยลดความเสียหายระยะยาวได้มาก.

ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อพบสัญญาณการละเมิด (Incident Response)

  1. หยุดธุรกรรมชั่วคราว
    • ระงับการส่งมอบสินค้า การออก shipping documents หรือการชำระเงิน จนกว่าจะประเมินความเสี่ยงได้ชัดเจน
  2. เก็บรักษาหลักฐานทั้งหมด
    • อีเมล สัญญา บันทึกการประชุม เอกสาร KYC เอกสารขนส่ง และ log การอนุมัติ
    • ออกคำสั่งภายในห้ามลบหรือแก้ไขข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  3. ตั้งทีมสอบสวนภายใน
    • ประกอบด้วยฝ่ายกฎหมาย ฝ่าย Compliance ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับดีล และอาจมีที่ปรึกษาภายนอก
    • กำหนดขอบเขตการตรวจสอบให้ชัดเจน (ระยะเวลา คู่ค้า สินค้า ช่องทางชำระเงิน)
  4. ประเมินข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
    • กฎหมายไทย: กฎหมาย WMD/DUI, กฎหมายฟอกเงิน, กฎระเบียบของธปท./AMLO ฯลฯ
    • กฎหมายต่างประเทศที่อาจเกี่ยวข้อง: OFAC, EU/UK sanctions, กฎหมายส่งออกของประเทศคู่ค้า ฯลฯ
  5. ตัดสินใจเรื่องการสื่อสารและการรายงาน
    • จะสื่อสารกับธนาคาร คู่ค้า หรือหน่วยงานรัฐใดบ้าง ในจังหวะใด
    • บางกรณี การรายงานเชิงสมัครใจ (voluntary disclosure) ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจช่วยลดโทษได้ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังและปรึกษาทนาย
  6. จัดทำแผนแก้ไขและป้องกันซ้ำ
    • ปรับปรุงนโยบาย/ขั้นตอน ICP
    • อบรมพนักงานเพิ่มเติมในจุดที่พบความเสี่ยง

เมื่อไหร่ควรติดต่อที่ปรึกษากฎหมายทันที

  • เมื่อพบว่าดีลเกี่ยวข้องกับบุคคล/นิติบุคคลที่อยู่ในลิสต์คว่ำบาตรของ UN, สหรัฐ, EU หรือประเทศอื่นๆ
  • เมื่อได้รับหนังสือสอบสวน/สอบถามจากหน่วยงานรัฐไทยหรือหน่วยงานต่างประเทศ (รวมถึงธนาคารต่างประเทศ)
  • เมื่อมีมูลว่ามีการยื่นขอใบอนุญาตส่งออกไม่ครบถ้วนหรือข้อมูลไม่ถูกต้อง
  • เมื่อคิดจะยุติสัญญากับลูกค้า/ซัพพลายเออร์เนื่องจากเหตุคว่ำบาตร (เพื่อบริหารความเสี่ยงการถูกฟ้องกลับด้านสัญญา)

คำถามติดตามที่ควรเตรียมคุยกับทนายความ

  • กรณีของบริษัทเข้าข่าย "ต้องรายงาน" ต่อหน่วยงานใดบ้าง และภายในกี่วัน
  • จะจัดการความเสี่ยงข้ามเขตอำนาจศาล (multi-jurisdiction risk) อย่างไร เช่น ไทย-สหรัฐ-ยุโรป
  • ควรเจรจากับธนาคาร/คู่ค้าอย่างไรเพื่อลดผลกระทบเชิงธุรกิจ ขณะยังรักษาสิทธิทางกฎหมายของบริษัท

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับคว่ำบาตรและข้อบังคับส่งออกในบริบทไทยคืออะไร?

หลายบริษัทไทยยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคว่ำบาตรและข้อบังคับส่งออก ซึ่งอาจทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป. การแก้ความเข้าใจผิดเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างวัฒนธรรม Compliance ที่แข็งแรง.

  • "เราเป็นแค่ผู้ผลิต/ส่งออกชิ้นส่วน ไม่เกี่ยวกับอาวุธ จึงไม่ต้องสนใจ DUI/WMD"
    ความจริง: ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เซ็นเซอร์ ซอฟต์แวร์ และเครื่องจักรจำนวนมากถูกจัดเป็นสินค้าใช้ได้สองทาง เพราะสามารถถูกนำไปใช้ในระบบอาวุธหรือโครงการ WMD ได้ แม้บริษัทจะขายให้ลูกค้าเพื่อใช้ในธุรกิจปกติก็ตาม
  • "ถ้าธนาคารโอนเงินให้แล้ว แปลว่าดีลไม่มีปัญหา"
    ความจริง: การที่ธนาคารดำเนินธุรกรรมไม่ได้เป็นการ "รับรองความถูกกฎหมาย" เสมอไป และหากมีการตรวจสอบย้อนหลัง ธนาคารอาจปิดบริการหรือรายงานธุรกรรม ในขณะที่บริษัทก็ยังต้องรับผิดชอบทางกฎหมายของตนเอง
  • "คว่ำบาตรเป็นเรื่องของประเทศคู่สงคราม ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรา"
    ความจริง: คว่ำบาตรสมัยใหม่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี และระบบการเงินทั่วโลก แม้บริษัทไทยจะค้าขายกับประเทศที่ไม่ได้ถูกคว่ำบาตรโดยตรง แต่หากลูกค้าปลายทาง/บริษัทในเครือมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศ/บุคคลที่ถูกคว่ำบาตร ก็อาจถูกตรวจสอบได้

แหล่งข้อมูลทางการของไทยที่ควรบุ๊กมาร์ก

สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านส่งออก/Compliance การมีแหล่งข้อมูลทางการที่อัปเดตเป็นสิ่งสำคัญ:

  • บทความอธิบายระบบ DUI, EUEUC และ ICP ของกระทรวงพาณิชย์บนเว็บไซต์ราชการไทย:
    Commerce Ministry - Dual-Use Items & ICP (thailand.go.th)
  • ระบบ e-TCWMD/e-Classification สำหรับจำแนกสินค้าตาม EU Dual-Use List:
    e-TCWMD - ระบบจำแนกสินค้าใช้ได้สองทาง (tcwmd.dft.go.th)
  • แถลงข่าวร่วมของธปท. และสำนักงาน ปปง. เรื่องการยกระดับการจัดการความเสี่ยงด้านคว่ำบาตรของสถาบันการเงิน:
    ธปท./AMLO - แนวทางการดูแลความเสี่ยงเกี่ยวกับการคว่ำบาตร (bot.or.th)

FAQ: คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตรของธุรกิจไทย

ต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นหรือไม่ที่ต้องสนใจเรื่องคว่ำบาตรและ DUI?

ไม่จำเป็น ทุกบริษัทที่มีการส่งออกหรือทำธุรกรรมระหว่างประเทศควรสนใจเรื่องนี้ โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับสินค้าเทคโนโลยี เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ หรือมีลูกค้า/ซัพพลายเออร์ในประเทศความเสี่ยงสูง การเป็น "SME" ไม่ใช่ข้อยกเว้นจากความรับผิด.

หากไม่แน่ใจว่าสินค้าเข้าข่าย DUI หรือไม่ ควรทำอย่างไร?

ให้เริ่มจากจำแนกสินค้าและตรวจในระบบ e-TCWMD/e-Classification ของกรมการค้าต่างประเทศ และหากยังไม่แน่ใจ ควรส่งคำถามหรือเข้าพบเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ รวมทั้งปรึกษาทนายความที่เคยทำงานด้าน export controls.

การทำ KYC/Screening ก่อนรับลูกค้าใหม่ ควรทำทุกเคสหรือเฉพาะดีลใหญ่?

ควรทำ "ทุกเคส" อย่างน้อยในระดับพื้นฐาน (basic KYC) และทำในระดับที่เข้มข้นขึ้นเมื่อดีลมีมูลค่าสูง ประเทศปลายทางมีความเสี่ยงสูง หรือสินค้าเข้าข่าย DUI/เทคโนโลยีขั้นสูง.

บริษัทควรแจ้งลูกค้าอย่างไรหากปฏิเสธดีลด้วยเหตุผลด้านคว่ำบาตร?

โดยทั่วไป ควรอ้างอิงนโยบาย Compliance ภายในและข้อกำหนดทางกฎหมายโดยไม่ต้องลงรายละเอียดเชิงข้อกล่าวหา และควรให้ฝ่ายกฎหมายช่วยทบทวนข้อความที่ใช้สื่อสารเพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิของบริษัทหรือนำไปสู่ข้อพิพาทเพิ่มเติม.

มีประโยชน์อะไรในการลงทุนทำ ICP และระบบ Compliance ทั้งที่ยังไม่เคยถูกตรวจ?

นอกจากลดความเสี่ยงทางกฎหมายแล้ว ICP ที่ดีช่วยเสริมความน่าเชื่อถือกับคู่ค้าต่างชาติ ธนาคาร และนักลงทุน ช่วยให้บริษัทเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงได้ง่ายขึ้น และเพิ่มความสามารถในการขยายตลาดในระยะยาว.

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความด้านคว่ำบาตรและกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ?

คุณควรพิจารณาจ้างหรือปรึกษาทนายความเมื่อบริษัทกำลังจะเริ่มส่งออกไปตลาดใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง เริ่มผลิต/ขายสินค้าเทคโนโลยีที่อาจเข้าข่าย DUI หรือมีโครงสร้างดีลที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องกับหลายประเทศ. ทนายความสามารถช่วยออกแบบนโยบายและสัญญาให้รองรับความเสี่ยงด้านคว่ำบาตรและ export controls ตั้งแต่ต้น แทนที่จะรอจนเกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข.

อีกกรณีที่ควรรีบปรึกษาทนาย คือเมื่อได้รับหนังสือสอบถาม/ตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐหรือธนาคาร หรือเมื่อพบ incident ภายในที่อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมาย การมีที่ปรึกษากฎหมายช่วยวางกลยุทธ์การสื่อสาร การเก็บหลักฐาน และการประเมินว่าต้องรายงานต่อหน่วยงานใดบ้าง จะช่วยลดความเสี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาวิกฤติ.

ขั้นตอนต่อไปสำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการยกระดับการปฏิบัติตามข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตร

แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมคือ เริ่มจากการ "ประเมินช่องโหว่" ของบริษัทในปัจจุบัน จากนั้นออกแบบนโยบายและ workflow ที่เหมาะสมกับลักษณะสินค้าและลูกค้าของตนเอง แล้วค่อยๆ ยกระดับด้วยการใช้เทคโนโลยีและการอบรมอย่างต่อเนื่อง.

  1. ทำ Export & Sanctions Risk Assessment
    • ระบุประเภทสินค้า ลูกค้า ประเทศปลายทาง และช่องทางการชำระเงินทั้งหมด
    • จัดลำดับความเสี่ยง (low/medium/high) และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในแต่ละระดับ
  2. เขียนและประกาศใช้นโยบาย Export Controls & Sanctions Compliance
    • สื่อสารชัดเจนว่าบริษัท "ไม่ยอมรับ" การใช้ธุรกิจเป็นช่องทางละเมิดคว่ำบาตรหรือกฎหมายส่งออก
    • กำหนดขั้นตอน KYC, product check, approval และ incident response
  3. สร้าง ICP ที่ใช้งานได้จริง
    • กำหนดเจ้าของกระบวนการ (process owner) ที่ชัดเจน
    • ผูกขั้นตอนการตรวจสอบเข้ากับระบบงานประจำ เช่น ก่อนออก invoice ก่อนจองเรือ ฯลฯ
  4. ลงทุนในเครื่องมือและการอบรมที่เหมาะสม
    • เลือกระบบ screening และฐานข้อมูลกฎหมาย/มาตรการคว่ำบาตรที่เหมาะกับขนาดธุรกิจ
    • จัดอบรมสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนกฎหมายหรือออกมาตรการใหม่
  5. สร้างความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐ
    • รักษาช่องทางสื่อสารกับกรมการค้าต่างประเทศ ธนาคาร และที่ปรึกษากฎหมาย
    • เข้าร่วมสัมมนาหรือโครงการอบรมที่จัดโดยหน่วยงานรัฐ/องค์กรวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อธุรกิจไทยมองเรื่องคว่ำบาตรและข้อบังคับส่งออกไม่ใช่เพียง "ภาระ" แต่เป็น "เครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงตลาดโลกอย่างยั่งยืน" การลงทุนด้าน Compliance จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวที่ตอบโจทย์ทั้งความเสี่ยงและโอกาสทางการค้าในยุคที่กฎเกณฑ์ระดับโลกเข้มข้นมากขึ้นทุกปี.

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม