- การโต้แย้งคำวินิจฉัยภาษีในไทยมีสองชั้นหลัก คือ การทบทวนภายในกรมสรรพากร (อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์) และการยื่นฟ้อง/อุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรและศาลสูง
- กำหนดเวลาสำคัญส่วนใหญ่คือ 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน หรือได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หากเลยกำหนดมักเสียสิทธิ ต้องขอขยายเวลาแบบมีเหตุผลรองรับ
- เอกสารสำคัญประกอบการอุทธรณ์ ได้แก่ หนังสือแจ้งการประเมินภาษี เอกสารยืนยันตัวผู้เสียภาษี หลักฐานทางบัญชี/ภาษี และเอกสารประกอบข้อโต้แย้งที่ชัดเจน
- กลยุทธ์ที่ดีต้องแยก "ข้อเท็จจริง" กับ "ข้อกฎหมาย" ออกจากกัน เขียนข้อโต้แย้งเป็นประเด็น ๆ พร้อมพยานหลักฐานและแนวคำพิพากษา/แนวนโยบายที่สนับสนุน
- คดีที่วงเงินภาษีสูง กระทบกระแสเงินสด หรือมีประเด็นกฎหมายซับซ้อน ควรมีทนายภาษีที่เชี่ยวชาญร่วมวางแผนตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์กรมสรรพากร ไม่ใช่รอถึงศาล
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยทางภาษีในไทยคืออะไร และสำคัญอย่างไร?
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยทางภาษี คือการใช้สิทธิของผู้เสียภาษีในการคัดค้าน "การประเมินภาษี" หรือ "คำวินิจฉัยอุทธรณ์" ของกรมสรรพากร เมื่อเชื่อว่าการเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม โดยเริ่มจากการทบทวนภายในกรมสรรพากร และหากยังไม่พอใจจึงไปสู่การฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากร. สำหรับทั้งผู้ประกอบการ (B2B) และบุคคลธรรมดา (B2C) ขั้นตอนเหล่านี้เป็นช่องทางหลักในการปกป้องสิทธิและลดภาระภาษีที่ไม่ควรต้องจ่าย.
บทความนี้ออกแบบมาเพื่อผู้เสียภาษีที่มี "จุดประสงค์จะลงมือทำ (Do)" และต้องการ "เข้าใจ (Know)" ขั้นตอนอุทธรณ์ในระบบไทยอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ระดับกรมสรรพากรไปจนถึงศาลภาษีอากร พร้อมตัวอย่างเอกสารและกลยุทธ์โต้แย้งที่ใช้ได้จริง.
ความแตกต่างระหว่างการทบทวนภายในกรมสรรพากรกับการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรคืออะไร?
ในทางปฏิบัติ การโต้แย้งคำวินิจฉัยภาษีในไทยแบ่งได้ 2 ระดับหลัก คือ (1) การอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ซึ่งเป็น "การทบทวนภายในฝ่ายบริหาร" และ (2) การฟ้องคดี/อุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากร ซึ่งเป็น "การให้ศาลตรวจสอบ" การประเมินของรัฐ. การเข้าใจความแตกต่างของสองเส้นทางนี้ช่วยให้วางกลยุทธ์ได้ถูกจังหวะ ทั้งด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และโอกาสสำเร็จ.
| ประเด็น | การทบทวนภายใน (อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์) | การยื่นต่อศาลภาษีอากร |
|---|---|---|
| หน่วยงานผู้พิจารณา | คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ภายในกรมสรรพากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 28-34 และระเบียบปี 2564(rd.go.th) | ศาลภาษีอากรกลาง หรือศาลภาษีอากรภูมิภาค ซึ่งอยู่ในสังกัดศาลยุติธรรม |
| ขั้นตอน | ยื่นคำอุทธรณ์ตามแบบที่อธิบดีกำหนด พร้อมเหตุผลและหลักฐานต่อหน่วยงานรับอุทธรณ์ของกรมสรรพากร | ยื่นคำฟ้องต่อศาล โดยระบุคู่ความ ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคำขอให้เพิกถอนการประเมิน/คำวินิจฉัย |
| กำหนดเวลา | ปกติ 30 วันนับแต่ได้รับแจ้งการประเมินภาษีอากร ตามมาตรา 30 และระเบียบกรมสรรพากร พ.ศ. 2564(rd.go.th) | 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาและประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2)(rd.go.th) |
| ลักษณะการพิจารณา | พิจารณาเอกสารเป็นหลัก อาจมีการเรียกชี้แจงเพิ่มเติมหรือให้ส่งเอกสารเพิ่ม | มีทั้งชั้นไต่สวนข้อเท็จจริง การสืบพยาน เอกสาร และการใช้ข้อกฎหมายเหมือนคดีแพ่งทั่วไป (ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ ประกอบ ป.วิ.พ.)(legardy.com) |
| ผลผูกพัน | คำวินิจฉัยอุทธรณ์ถือเป็นที่สุดในทางปกครอง แต่อาจถูกเพิกถอนโดยศาลได้ | คำพิพากษาศาลภาษีอากรผูกพันคู่ความ และอาจอุทธรณ์/ฎีกาได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณา |
| ค่าใช้จ่าย | ค่าใช้จ่ายตรงไม่สูง (ส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมศาล) แต่มีต้นทุนด้านเวลาและการเตรียมเอกสาร | มีค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนาย และค่าใช้จ่ายในการสืบพยาน/จัดทำเอกสารมากขึ้น |
| ความเสี่ยง | หากอุทธรณ์ช้า/เอกสารไม่ครบ อาจเสียสิทธิหรือทำให้โอกาสสำเร็จน้อยลง | หากพลาดกำหนดยื่นฟ้องหรือยื่นอุทธรณ์ต่อศาลล่าช้า ศาลอาจไม่รับคดี ทำให้คำวินิจฉัยกรมสรรพากรมีผลเด็ดขาด |
โดยทั่วไป ผู้เสียภาษีควรใช้ช่องทาง "อุทธรณ์ภายในกรมสรรพากร" ให้เต็มที่ก่อน เพราะต้นทุนต่ำและเป็นโอกาสแรกในการชี้แจง หากไม่สำเร็จหรือมูลค่าภาษีสูง จึงพิจารณาก้าวสู่กระบวนการศาลภาษีอากร.
ระยะเวลายื่นอุทธรณ์และข้อกำหนดการยื่นคำร้อง มีอะไรที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ?
กำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ภาษีในไทยเคร่งครัดมาก ส่วนใหญ่เป็น 30 วันนับแต่วันที่ "ได้รับแจ้ง" หนังสือของทางราชการ ไม่ใช่วันที่เปิดอ่านหรือวันที่เข้าใจเรื่อง. การนับวันผิดหรือปล่อยให้พนักงานลงชื่อรับเอกสารแทนโดยไม่ติดตาม อาจทำให้เสียสิทธิฟ้องศาลโดยไม่รู้ตัว.
1. ระยะเวลาอุทธรณ์ในชั้นกรมสรรพากร
- กรณีได้รับแจ้งการประเมินภาษีจากกรมสรรพากร ผู้เสียภาษีมีสิทธิยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 และระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2564(rd.go.th)
-
กรณีการประเมินโดยอำเภอ
มาตรา 29 แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้
- อุทธรณ์การประเมินของอำเภอต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 15 วัน
- อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภายใน 15 วัน (ในบางกรณี)
- การยื่นล่าช้าและคำร้องขอขยายเวลา หากยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนด 30 วัน ผู้เสียภาษีต้องยื่น "คำร้องขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์" ต่ออธิบดีกรมสรรพากร อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 อัฏฐ ของประมวลรัษฎากร โดยต้องแสดงเหตุจำเป็นชัดเจน เช่น เหตุสุดวิสัย หรือเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้.(rd.go.th)
2. ระยะเวลาฟ้องศาลภาษีอากร
- จากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไปสู่ศาลภาษีอากร ผู้อุทธรณ์ที่ยังไม่พอใจคำวินิจฉัย มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากร ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตีความมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากรอย่างเคร่งครัด(rd.go.th)
- การนับวัน "ได้รับแจ้ง" ที่มักเป็นปัญหา ศาลเคยวินิจฉัยว่า หากลูกจ้างหรือพนักงานของผู้เสียภาษีเป็นผู้ลงชื่อรับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยในวันหนึ่ง วันดังกล่าวถือเป็นวันที่ "ได้รับแจ้ง" แล้ว แม้ผู้บริหารจะอ้างว่าเพิ่งทราบเอกสารในภายหลัง ศาลก็ไม่รับฟังว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้นการจัดระบบรับหนังสือทางราชการภายในบริษัทจึงสำคัญมาก.(rd.go.th)
- การขอขยายเวลาฟ้องศาล หากมีเหตุจำเป็นต้องขอขยายเวลา ศาลภาษีอากรอาจอนุญาตได้ แต่โดยหลักต้องยื่นคำร้อง "ก่อนครบกำหนด 30 วัน" เว้นแต่กรณีเหตุสุดวิสัยที่ศาลเห็นสมควรขยายภายหลังได้ ซึ่งตีความค่อนข้างเคร่งครัด.
3. การอุทธรณ์/ฎีกาคำพิพากษาศาลภาษีอากร
คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางหรือภูมิภาคอาจอุทธรณ์/ฎีกาต่อศาลสูง (ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในแต่ละช่วงเวลา) ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่นำมาใช้โดยอนุโลม ซึ่งโดยทั่วไปเป็น "หนึ่งเดือนนับแต่วันที่อ่านหรือทราบคำพิพากษา" ทั้งนี้ รายละเอียดปลีกย่อย เช่น ศาลชั้นไหนเป็นผู้รับอุทธรณ์/ฎีกา และรูปแบบเอกสาร ควรให้ทนายภาษีศึกษากฎหมายปัจจุบันและข้อกำหนดศาลที่อัปเดตล่าสุด.
ต้องเตรียมเอกสารและหลักฐานอะไรบ้างก่อนยื่นอุทธรณ์ภาษี?
การอุทธรณ์ภาษีที่ดีไม่ได้เริ่มต้นที่ "การเขียนคำอุทธรณ์" แต่เริ่มที่ "การรวบรวมเอกสารและข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ". กรมสรรพากรระบุรายการเอกสารประกอบคำอุทธรณ์ไว้ค่อนข้างชัด เช่น เอกสารระบุตัวผู้เสียภาษี หนังสือมอบอำนาจ เอกสารภาษีที่เกี่ยวข้อง และหลักฐานทางบัญชีประกอบ.(rd.go.th)
1. เอกสารยืนยันตัวผู้เสียภาษีและผู้มีอำนาจ
- กรณีบุคคลธรรมดา: สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน
- กรณีนิติบุคคล: หนังสือรับรองนิติบุคคลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ไม่เกิน 3-6 เดือน) + สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม พร้อมประทับตราบริษัท
- หนังสือมอบอำนาจ (กรณีไม่ได้มายื่นเอง) ติดอากรแสตมป์ตามประเภทการมอบอำนาจ (มักใช้ 10 หรือ 30 บาท) พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจที่ลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง(rd.go.th)
2. เอกสารภาษีเฉพาะเรื่อง
- หนังสือแจ้งการประเมินภาษี/คำสั่งประเมิน (ต้นฉบับหรือสำเนาชัดเจน)
- แบบแสดงรายการภาษีที่เกี่ยวข้อง: ภ.ง.ด., ภ.พ.30, ภ.พ.36 ฯลฯ สำหรับรอบระยะเวลาที่ถูกประเมิน
- ทะเบียนภาษีซื้อ-ภาษีขาย รายงานภาษีและรายงานสินค้า/วัตถุดิบ สำหรับกรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม
- หนังสือจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) และหนังสือแจ้งเปลี่ยนแปลง (ภ.พ.09) หากเป็นประเด็นลงทะเบียน VAT(rd.go.th)
- หลักฐานการชำระภาษีที่เคยชำระแล้ว เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบสำคัญรับ
3. หลักฐานทางบัญชีและเชิงธุรกรรม
- งบการเงิน งบกระแสเงินสด และงบประกอบอื่น ๆ ของปีที่เกี่ยวข้อง
- เล่มรายวัน รายการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) รายการเคลื่อนไหวบัญชีลูกหนี้-เจ้าหนี้
- ใบกำกับภาษี ใบแจ้งหนี้ ใบส่งของ สัญญาซื้อขาย/ให้บริการ สัญญาเช่า สัญญาเงินกู้ ฯลฯ
- เอกสารประกอบรายการพิเศษ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การโอนหุ้น การโอนทรัพย์สินระหว่างบริษัทในเครือ
- อีเมล หนังสือโต้ตอบ หรือบันทึกภายในที่ยืนยันเจตนาและข้อเท็จจริงของรายการที่เป็นข้อพิพาท
4. เอกสารสำหรับชั้นศาลภาษีอากร
- สำเนาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
- คำฟ้องที่จัดทำตามรูปแบบของศาลภาษีอากร (มักจัดทำโดยทนายความ)
- บัญชีระบุพยานเอกสารและพยานบุคคลที่ประสงค์จะอ้างต่อศาล
- ในบางคดี อาจต้องมีความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี การประเมินมูลค่า หรือภาษีเฉพาะทางแนบประกอบ
Checklist สั้น ๆ ก่อนยื่นอุทธรณ์
- ตรวจ "วันที่ลงรับหนังสือประเมิน/คำวินิจฉัย" และนับกำหนดเวลา 30 วันให้ชัด
- จัดแฟ้มเอกสารแยกเป็น: (ก) เอกสารตัวตน (ข) เอกสารภาษี (ค) เอกสารบัญชี (ง) เอกสารสนับสนุนข้อเท็จจริงพิเศษ
- ทำ "สรุปข้อเท็จจริง" แบบลำดับเวลา 1-2 หน้า เพื่อใช้เป็นฐานในการเขียนอุทธรณ์
- ปรึกษาทนายภาษีหรือผู้สอบบัญชีรับอนุญาตให้ช่วยตรวจช่องโหว่ของหลักฐานก่อนยื่น
จะวางกลยุทธ์โต้แย้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในคดีภาษีอย่างไร?
หัวใจของการอุทธรณ์ภาษีที่มีประสิทธิภาพ คือการแยก "ข้อเท็จจริง" และ "ข้อกฎหมาย" ออกจากกันให้ชัด แล้วจับประเด็นทีละเรื่อง พร้อมหลักฐานสนับสนุน. สำหรับผู้ประกอบการ กลยุทธ์ที่ดีช่วยลดภาษี/เบี้ยปรับได้มาก และยังสะท้อนวินัยภาษีที่ดีต่อสายตาหน่วยงานรัฐ.
1. จัดโครงสร้างข้อโต้แย้งให้ชัดตั้งแต่ต้น
- ตั้งหัวข้อย่อยในคำอุทธรณ์ เช่น ประเด็นที่ 1: รายได้ที่ถูกประเมินเพิ่ม, ประเด็นที่ 2: การไม่รับภาษีซื้อ ฯลฯ
- ในแต่ละประเด็นให้แบ่งเป็น 3 ส่วน: (ก) ข้อเท็จจริง (ข) ข้อกฎหมาย (ค) เหตุผลที่การประเมินไม่ถูกต้อง
- ใช้ภาษาตรงไปตรงมา ระบุจำนวนเงินและปีภาษีชัดเจน หลีกเลี่ยงการเล่าเรื่องยืดยาวที่ไม่เกี่ยวข้อง
2. กลยุทธ์ด้าน "ข้อเท็จจริง"
- สร้าง "Timeline" ของเหตุการณ์สำคัญ เช่น วันทำสัญญา วันรับ-จ่ายเงิน วันบันทึกบัญชี วันออกใบกำกับภาษี
- เปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น สมุดบัญชี vs รายการเดินบัญชีธนาคาร vs ใบกำกับภาษี เพื่อแสดงความสอดคล้อง
- หากเจ้าพนักงานตีความข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน เช่น เห็นว่าเป็นรายได้ แต่แท้จริงเป็นเงินกู้ หรือเงินรับฝาก ต้องอธิบายลักษณะธุรกรรมให้ชัดเจนพร้อมเอกสารประกอบ
- ใช้พยานบุคคลเท่าที่จำเป็นในชั้นศาล เช่น ผู้จัดการฝ่ายการเงิน ผู้สอบบัญชี หรือคู่สัญญา เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงที่เอกสารไม่ชัด
3. กลยุทธ์ด้าน "ข้อกฎหมาย"
- ระบุบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องตรงประเด็น เช่น มาตราว่าด้วยการยอมรับภาษีซื้อ ภาษีขาย การหักค่าใช้จ่าย หรือการยกเว้นภาษี
- ชี้ให้เห็นว่าการตีความของเจ้าพนักงานขัดกับข้อความในกฎหมาย ระเบียบกรมสรรพากร หนังสือเวียน หรือแนวปฏิบัติที่ประกาศไว้สาธารณะในเว็บไซต์ กรมสรรพากร
- ในคดีที่มีมูลค่าสูง ควรค้นแนวคำพิพากษาศาลภาษีอากรหรือศาลฎีกาที่มีข้อเท็จจริงใกล้เคียง มาประกอบการโต้แย้ง
- อย่าลืมประเด็น "กระบวนการทางปกครอง" เช่น การออกคำสั่งประเมินภาษีล่าช้าเกินอายุความ หรือไม่แจ้งสิทธิอุทธรณ์อย่างถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ภายใต้กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง(rd.go.th)
4. ข้อควรระวังด้านกลยุทธ์
- ยกทุกประเด็นที่สำคัญตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์กรมสรรพากร เพราะบางกรณีศาลอาจไม่รับฟังประเด็นใหม่ที่ไม่เคยหยิบยกมาก่อนโดยไม่มีเหตุสมควร
- อย่าโต้แย้งด้วยอารมณ์หรือความรู้สึก "ไม่เป็นธรรม" อย่างเดียว โดยไม่มีฐานข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรองรับ
- จัดลำดับข้อโต้แย้งจาก "ประเด็นที่ลดภาษีได้มากที่สุด/ชัดที่สุด" ไปยังประเด็นรอง เพื่อไม่ให้ข้อสำคัญถูกกลบ
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษี
หลายธุรกิจและผู้เสียภาษีรายบุคคลเสียโอกาสในคดีภาษีเพราะความเชื่อผิด ๆ ตั้งแต่ต้น หากเข้าใจจุดเหล่านี้ตั้งแต่แรก จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก.
-
เข้าใจผิดว่า "ยังไม่เซ็นรับเอกสาร ก็ยังไม่เริ่มนับเวลา"
ในความเป็นจริง ศาลมักถือ "วันที่ผู้มีอำนาจหรือผู้รับมอบหมายลงชื่อรับเอกสาร" เป็นวันที่ได้รับแจ้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกิจการหรือกรรมการเอง ดังที่ปรากฏในคำพิพากษาฎีกาหลายคดี.(rd.go.th) -
คิดว่าเมื่อยื่นอุทธรณ์แล้ว "ไม่ต้องจ่ายภาษีไปก่อน" เสมอ
กฎหมายกำหนดชัดว่าการอุทธรณ์ "ไม่ได้ทุเลาการชำระภาษีโดยอัตโนมัติ" หากต้องการเลื่อนการชำระต้องยื่นคำร้องขอทุเลาต่ออธิบดีเป็นการเฉพาะ และต้องแสดงหลักประกันหรือเหตุผลเพียงพอ ตามมาตรา 31 แห่งประมวลรัษฎากรและระเบียบที่เกี่ยวข้อง(rd.go.th) -
คิดว่าคดีภาษี "เจรจาได้หมด" โดยไม่ต้องเตรียมเอกสารจริงจัง
แม้ในทางปฏิบัติจะมีการพูดคุยหรือชี้แจงกันได้ แต่การวินิจฉัยของคณะกรรมการและศาลยึดจาก "ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้และข้อกฎหมาย" ไม่ใช่การต่อรองลอย ๆ หากไม่มีเอกสารและเหตุผลรองรับ โอกาสสำเร็จน้อยมาก.
เมื่อไรควรใช้ทนายภาษี และจะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับคดีของคุณ?
โดยหลัก ผู้เสียภาษีสามารถยื่นอุทธรณ์เองได้ในชั้นกรมสรรพากร แต่เมื่อคดีเริ่มมีวงเงินสูง มีประเด็นกฎหมายซับซ้อน หรือมีความเสี่ยงต่อธุรกิจ การมีทนายภาษีที่มีประสบการณ์จะเพิ่มโอกาสสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ. ในชั้นศาลภาษีอากร นิติบุคคลแทบทั้งหมดใช้ทนายความว่าความเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว.
1. สัญญาณว่าคุณควรจ้างทนายภาษี
- วงเงินภาษี/เบี้ยปรับ/เงินเพิ่มรวมกันเกินกว่าที่ธุรกิจรับความเสี่ยงได้ (เช่น หลายล้านบาทขึ้นไป)
- มีประเด็นโครงสร้างภาษีซับซ้อน เช่น โอนกำไรระหว่างบริษัทในเครือ ธุรกรรมข้ามชาติ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีศุลกากรที่โยงกับภาษีเงินได้นิติบุคคล
- เคยถูกสอบภาษีครั้งใหญ่และมีคำเตือนว่าการกระทำอาจเข้าข่ายภาษีอากรอื่นเพิ่ม
- ต้องไปถึงชั้นศาลภาษีอากร หรือคาดการณ์ว่าคดีอาจยืดเยื้อหลายปี
2. เกณฑ์เลือกทนายภาษีที่มีประสบการณ์
- ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านภาษี - มีประสบการณ์อุทธรณ์ภาษีและคดีศาลภาษีอากร ไม่ใช่ทนายคดีแพ่งทั่วไปเพียงอย่างเดียว
- ผลงานหรือกรณีศึกษาที่ใกล้เคียง - ขอให้ทนายเล่าเคสจริง (โดยไม่เปิดเผยข้อมูลลูกค้า) ที่มีข้อเท็จจริงและภาษีชนิดเดียวกับคดีของคุณ
- การทำงานร่วมกับฝ่ายบัญชี/ผู้สอบบัญชี - ทนายภาษีที่ดีต้องสื่อสารกับฝ่ายบัญชีของคุณได้ดี และเข้าใจหลักบัญชีที่เกี่ยวข้อง
- ความโปร่งใสด้านค่าบริการ - ขอให้มีการระบุค่าทนายโดยประมาณ วิธีคิดค่าใช้จ่ายในแต่ละชั้นศาล และค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจเกิดขึ้น
- ความสามารถในการสื่อสารเชิงกลยุทธ์กับผู้บริหาร - ทนายควรอธิบาย "ความเสี่ยง-โอกาส-ทางเลือก" ให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ ไม่ใช่สื่อสารเป็นศัพท์กฎหมายล้วน ๆ
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษีในไทย
ต้องยื่นอุทธรณ์ภาษีที่ไหน และยื่นอย่างไร?
โดยทั่วไป ผู้เสียภาษียื่นคำอุทธรณ์ต่อหน่วยงานรับอุทธรณ์ของกรมสรรพากรในพื้นที่ หรือผ่านระบบอุทธรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร หากระบบขัดข้องต้องรีบยื่นฉบับกระดาษภายในกำหนดเวลา 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินตามที่ระเบียบปี 2564 กำหนด.(rd.go.th)
การอุทธรณ์หยุดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับหรือไม่?
โดยหลัก "ไม่หยุด" ดอกเบี้ยและเบี้ยปรับจะยังเดินต่อไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุดหรือมีคำสั่งทุเลาเป็นการเฉพาะ ผู้เสียภาษีสามารถยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษีต่ออธิบดีกรมสรรพากรได้ แต่ต้องมีหลักประกันหรือเหตุผลเพียงพอ และให้ดุลพินิจของอธิบดีเป็นผู้อนุมัติ.(rd.go.th)
ถ้าพลาดกำหนดยื่นอุทธรณ์ 30 วันแล้ว ยังมีโอกาสแก้ตัวหรือไม่?
ยังมีช่องทางจำกัด คือการยื่นคำร้องขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมสรรพากร โดยต้องแสดงเหตุจำเป็นอย่างหนักแน่น เช่น ภัยพิบัติ เหตุสุดวิสัย หรือปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่พิสูจน์ได้ อย่างไรก็ดี หากอธิบดีไม่อนุญาต สิทธิอุทธรณ์อาจถือว่าสิ้นสุด และต้องพิจารณาช่องทางอื่นกับทนายภาษีเป็นรายกรณี.
คดีภาษีใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะจบ?
ชั้นอุทธรณ์กรมสรรพากรอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงเป็นปี ขึ้นกับความซับซ้อนและภาระงานของคณะกรรมการ ส่วนคดีศาลภาษีอากรหากมีการสืบพยานเต็มรูปแบบมักใช้เวลา 2-3 ปี หรือมากกว่านั้น รวมถึงเวลาสำหรับอุทธรณ์/ฎีกาต่อศาลสูง หากมี. ระยะเวลาจริงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่ทนายของคุณสามารถประเมินให้เหมาะกับคดีได้.
บุคคลธรรมดาต้องใช้ทนายในศาลภาษีอากรหรือไม่?
ตามหลักกฎหมาย บุคคลธรรมดาอาจดำเนินคดีเองได้ในบางกรณี แต่ในทางปฏิบัติ คดีภาษีมักมีประเด็นกฎหมายและบัญชีซับซ้อน และคู่ความอีกฝ่ายคือหน่วยงานรัฐที่มีทนายและอัยการมืออาชีพ การมีทนายภาษีช่วยดูแลจึงแทบเป็นสิ่งจำเป็นหากต้องขึ้นศาล.
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความช่วยดูคดีอุทธรณ์ภาษีของคุณ?
หากคุณกำลังเผชิญการประเมินภาษีที่มีผลกระทบต่อเงินสด ธุรกิจ หรือทรัพย์สินในระดับที่ "ผิดพลาดไม่ได้" เช่น กระทบสภาพคล่องจนทำให้เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ หรือกระทบต่อดีล M&A/การระดมทุน การจ้างทนายภาษีตั้งแต่เริ่มอุทธรณ์ชั้นกรมสรรพากรเป็นสิ่งที่ควรทำทันที. ทนายจะช่วยประเมินความเสี่ยง วางแผนเอกสาร และโต้แย้งบนฐานกฎหมายที่แข็งแรงตั้งแต่ต้น.
สำหรับคดีที่วงเงินไม่สูงมากหรือข้อเท็จจริงไม่ซับซ้อน คุณอาจเริ่มยื่นอุทธรณ์ด้วยตนเองโดยขอคำปรึกษาเป็นครั้งคราวจากผู้เชี่ยวชาญ แต่หากมีสัญญาณว่ากรมสรรพากรไม่เห็นด้วยในหลักการสำคัญของคุณ หรือเริ่มมีประเด็นที่อาจขยายเป็นภาษีหลายปี/หลายชนิด ควรพบทนายโดยด่วนก่อนหมดกำหนดฟ้องศาลภาษีอากร.
ขั้นตอนต่อไป: ถ้าคุณต้องการเริ่มอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษีในไทย
เพื่อให้คุณสามารถ "ลงมือทำ" ได้อย่างเป็นระบบ ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ทั้งผู้ประกอบการและบุคคลธรรมดาสามารถใช้ได้ทันที:
- ตรวจสอบหนังสือที่ได้รับจากกรมสรรพากร - ยืนยันว่าคือ "หนังสือแจ้งการประเมิน" หรือ "คำวินิจฉัยอุทธรณ์" แล้วจดวันที่มีการลงชื่อรับเอกสาร เพื่อเริ่มนับกำหนดเวลา 30 วัน
- ทำรายการประเด็นที่ไม่เห็นด้วย - ระบุปีภาษี ประเภทภาษี และจำนวนเงินที่เป็นข้อพิพาทในแต่ละประเด็นอย่างชัดเจน
- รวบรวมเอกสารตาม Checklist - จัดแฟ้มเอกสารให้พร้อมสำหรับทั้งชั้นอุทธรณ์และชั้นศาลภาษีอากรในอนาคต เผื่อกรณีต้องใช้ต่อเนื่อง
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ - นัดหมายทนายภาษีหรือที่ปรึกษาภาษี/ผู้สอบบัญชีที่มีประสบการณ์ในข้อพิพาทภาษี เพื่อช่วยวิเคราะห์กลยุทธ์และร่างคำอุทธรณ์
- ยื่นอุทธรณ์และติดตามผลอย่างใกล้ชิด - เมื่อยื่นแล้ว ให้ติดตามหมายเรียกหรือหนังสือขอเอกสารเพิ่มเติมจากกรมสรรพากรหรือศาล และอย่าลืมประเมินทางเลือกทางธุรกิจควบคู่ไปด้วย เช่น การกันสำรองเงิน การสื่อสารกับผู้ถือหุ้น/เจ้าหนี้
หากคุณต้องการตรวจสอบข้อมูลกฎหมายและระเบียบทางการเพิ่มเติม สามารถดูได้จากเว็บไซต์ทางราชการ เช่น กรมสรรพากร สำหรับระเบียบการอุทธรณ์ และ ศาลยุติธรรม สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับศาลภาษีอากรและกระบวนพิจารณาคดีภาษีอากรปัจจุบัน.