- ธุรกิจไทยที่ส่งออกหรือทำธุรกรรมข้ามชาติต้องคำนึงถึงทั้งกฎหมายไทย (WMD / Dual-use, ศุลกากร, ป้องกันฟอกเงิน) และมาตรการคว่ำบาตรของต่างประเทศที่อาจมีผลทางอ้อมผ่านธนาคารและคู่ค้า
- การทำ KYC และคัดกรองคู่ค้าระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ เป็นด่านแรกที่จะช่วยลดความเสี่ยงการทำธุรกรรมกับบุคคลหรือประเทศที่ถูกคว่ำบาตร
- สินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าใช้ได้สองทาง (Dual-use) และเทคโนโลยีขั้นสูง กำลังถูกควบคุมเข้มขึ้น ธุรกิจต้องรู้วิธีตรวจสอบรายการควบคุมและขอใบอนุญาตส่งออก
- บทลงโทษจากการฝ่าฝืนทั้งในไทยและต่างประเทศอาจรุนแรงถึงขั้นค่าปรับมหาศาล ปิดบัญชีธนาคาร ระงับสิทธิส่งออก หรือโทษอาญาต่อกรรมการ
- การมีนโยบาย Compliance ภายใน อบรมพนักงาน และมีแผนรับมือเมื่อพบเหตุสงสัย จะช่วยลดความเสียหายและช่วยให้สื่อสารกับหน่วยงานรัฐ/ธนาคารได้อย่างน่าเชื่อถือ
- เมื่อมีความซับซ้อนสูง เช่น สินค้า Dual-use, โครงสร้างธุรกรรมหลายประเทศ หรือมีสัญญากับคู่ค้าที่เสี่ยง การปรึกษาทนายหรือที่ปรึกษากฎหมายเฉพาะทางควรเกิด "ตั้งแต่ยังไม่สาย"
การปฏิบัติตามข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตรสำหรับธุรกิจไทยคืออะไร?
การปฏิบัติตามข้อบังคับส่งออกและคว่ำบาตรสำหรับธุรกิจไทย คือการจัดการความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียงในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับกฎหมายไทยและมาตรการคว่ำบาตรระดับนานาชาติและประเทศหลักที่เกี่ยวข้อง. สำหรับผู้ส่งออกไทย นั่นหมายถึงการรู้ว่าขายอะไร ให้ใคร ไปที่ไหน ใช้เพื่ออะไร และต้องมีใบอนุญาตหรือการอนุมัติใดเพิ่มเติมหรือไม่.
บทความนี้ออกแบบสำหรับผู้บริหาร ผู้จัดการส่งออก ฝ่ายกฎหมาย และฝ่าย Compliance ของบริษัทไทย (กลุ่ม B2B) โดยมุ่งตอบทั้ง "รู้ให้ชัด" (Know) และ "ทำให้ได้จริง" (Do). เราจะลงรายละเอียดทั้งเรื่องการคัดกรองคู่ค้า รายการสินค้าที่ถูกควบคุม ขั้นตอนขออนุญาต บทลงโทษ การสร้างนโยบายภายใน ไปจนถึงสิ่งที่ควรทำทันทีเมื่อพบสัญญาณการละเมิด.
ในประเทศไทย กฎหมายสำคัญคือ พระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 ซึ่งมุ่งควบคุม "สินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทำลายล้างสูง" รวมถึงสินค้าสองทาง (Dual-use) ภายใต้การกำกับของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์.(dft.go.th) นอกจากนี้ ไทยยังต้องปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ว่าด้วยการคว่ำบาตรและการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง เช่น ตาม UNSCR 1540.
แม้บางคว่ำบาตร (เช่น ของสหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป) จะไม่ได้เป็นกฎหมายไทยโดยตรง แต่สามารถกระทบธุรกิจไทยผ่านระบบการเงินดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารตัวกลาง และความเสี่ยงถูกขึ้นบัญชีโดยหน่วยงานต่างประเทศ เช่น OFAC ของสหรัฐฯ ดังเห็นจากกรณีบริษัทไทยที่ถูกปรับจากการใช้ระบบการเงินสหรัฐฯ เพื่อทำธุรกรรมเกี่ยวกับอิหร่าน.(wsj.com)
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- ธุรกิจของเราต้องสนใจเฉพาะกฎหมายไทย หรือจำเป็นต้องตามคว่ำบาตรของสหรัฐฯ/สหภาพยุโรปด้วย?
- หากขายสินค้าทั่วไป เช่น เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นต้องตรวจสอบว่าจัดเป็น Dual-use หรือไม่อย่างไร?
- ถ้าธุรกรรมผ่านธนาคารไทยในสกุลบาท ยังเสี่ยงถูกคว่ำบาตรจากต่างประเทศหรือไม่?
จะตรวจสอบคู่ค้าระหว่างประเทศและทำ KYC สำหรับผู้ส่งออกไทยอย่างไร?
แกนหลักของการป้องกันการละเมิดคว่ำบาตรคือ "รู้จักคู่ค้าอย่างแท้จริง" หรือ KYC (Know Your Customer/Counterparty) ซึ่งต้องเกินกว่าการขอใบทะเบียนการค้าและนามบัตร. ผู้ส่งออกไทยควรมีขั้นตอนตรวจสอบคู่ค้า ลูกหนี้ ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (Ultimate Beneficial Owner - UBO) และธนาคารตัวกลางกับรายชื่อคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ.
หากคุณทำธุรกรรมกับต่างประเทศเป็นประจำ การมี Checklist KYC ที่ชัดเจน ฐานข้อมูลคู่ค้า และการใช้ระบบคัดกรอง (screening) จะช่วยลดโอกาสทำธุรกรรมกับบุคคล/นิติบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร หรือมีความเชื่อมโยงกับการแพร่ขยายอาวุธหรือการฟอกเงิน. นอกจากนี้ ธนาคารและพันธมิตรต่างประเทศมักคาดหวังว่าบริษัทไทยจะมีมาตรการ KYC ภายในระดับหนึ่ง.
ข้อมูลขั้นต่ำที่ควรเก็บในขั้นตอน KYC
- ข้อมูลนิติบุคคล: ชื่อเต็มตามทะเบียน, ชื่อภาษาอังกฤษ, เลขทะเบียน, ประเทศจดทะเบียน, ที่อยู่สำนักงาน, เว็บไซต์ (ถ้ามี)
- โครงสร้างผู้ถือหุ้นและ UBO: ใครถือหุ้นมากกว่า 25% ขึ้นไป? มีรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลจากประเทศเสี่ยงเกี่ยวข้องหรือไม่?
- บุคคลสำคัญทางการเมือง (PEPs): มีกรรมการหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐใน/ต่างประเทศหรือไม่?
- ลักษณะธุรกิจและห่วงโซ่อุปทาน: คู่ค้าทำธุรกิจอะไร อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงด้าน WMD / Dual-use หรือไม่?
- ประวัติ Compliance: เคยถูกกล่าวหาหรือปรากฏชื่อในข่าว/คดีเกี่ยวกับคว่ำบาตร ฟอกเงิน หรือทุจริตหรือไม่?
การใช้รายชื่อคว่ำบาตรและแหล่งข้อมูลต่างๆ
อย่างน้อย บริษัทไทยควรตรวจสอบคู่ค้ากับรายชื่อคว่ำบาตรของสหประชาชาติ (UN List) ซึ่งไทยต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว และรายชื่อที่เกี่ยวข้องซึ่งธนาคารหรือคู่ค้าระหว่างประเทศใช้เป็นมาตรฐาน เช่น รายชื่อของสหรัฐฯ (OFAC SDN List) สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร. การเข้าถึงรายชื่อเหล่านี้สามารถทำได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ขององค์การระหว่างประเทศ หรือผ่านระบบ screening เชิงพาณิชย์ที่ธนาคารหรือบริษัทใหญ่ใช้.
สำหรับธุรกิจที่มีสินค้าหรือคู่ค้าในประเทศที่มีความไวทางการเมือง/ความมั่นคง (เช่น รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ ซีเรีย ฯลฯ) การตรวจสอบกับรายชื่อคว่ำบาตรหลายชุด เป็นเรื่องแทบจะ "บังคับโดยพฤตินัย" เพราะหากฝ่าฝืน อาจกระทบความสัมพันธ์กับธนาคารต่างประเทศหรือทำให้ถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน.
ตัวอย่าง "Red Flags" ที่ควรระวัง
- ลูกค้าต้องการใช้ "ธนาคารตัวกลาง" แห่งหนึ่งทั้งที่ไม่ใช่ธนาคารหลักในประเทศนั้น และขอให้เปลี่ยนชื่อประเทศต้นทางเป็น "Middle East" หรือคำกว้างๆ ในเอกสารการค้า
- มีการเปลี่ยนปลายทางสินค้าอย่างกะทันหันไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง โดยไม่ได้มีเหตุผลทางการค้าที่ชัดเจน
- ลูกค้าไม่ยอมให้ข้อมูล End-user หรือวัตถุประสงค์การใช้งานที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงหรืออุปกรณ์วิศวกรรมเฉพาะทาง
- มีเงื่อนไขให้ชำระเงินผ่านบุคคลที่สามในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม
ขั้นตอน KYC แบบย่อสำหรับผู้ส่งออกไทย
- เก็บข้อมูลพื้นฐานคู่ค้าและ UBO ให้ครบถ้วน
- คัดกรองกับรายชื่อคว่ำบาตรหลัก (UN, และถ้าเกี่ยวข้องอาจรวมถึง US/EU/UK)
- ประเมินประเทศปลายทาง ตัวกลาง และธนาคาร ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่
- ประเมินสินค้าและลักษณะการใช้งาน ว่าเข้าเกณฑ์ Dual-use / WMD หรือเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหรือไม่
- หากพบ Red Flag ให้ยกระดับการอนุมัติ (เช่น ให้ผู้บริหาร/ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ตัดสินใจ) หรือปฏิเสธดีล
- บันทึกผลการตรวจสอบและเหตุผลการอนุมัติ/ปฏิเสธทุกครั้ง เพื่อใช้อ้างอิงหากถูกตรวจสอบภายหลัง
คำถามติดตาม
- จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ screening ราคาแพงหรือไม่ หากบริษัทมีขนาดกลางหรือเล็ก?
- เราสามารถพึ่งเฉพาะการตรวจสอบจากธนาคารได้หรือไม่ หรือต้องตรวจสอบเองทุกกรณี?
จะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าอยู่ในรายการควบคุม และต้องขอใบอนุญาตส่งออกหรือไม่?
การรู้ว่าสินค้าของบริษัทถูกควบคุมหรือไม่ เป็นหัวใจของ Export Controls เพราะแม้จะขายให้ "ลูกค้าที่ปลอดภัย" แต่หากสินค้าอยู่ในรายการควบคุมโดยไม่ได้ขอใบอนุญาต ก็ยังถือว่าผิดกฎหมาย. สำหรับไทย สินค้ากลุ่มเสี่ยงหลักคือ "สินค้าใช้ได้สองทาง" (Dual-use Items - DUI) และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทำลายล้างสูงภายใต้กฎหมาย WMD และประกาศของกระทรวงพาณิชย์.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้พัฒนาระบบควบคุม DUI อย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านพระราชบัญญัติ WMD และประกาศควบคุมสินค้าสองทาง รวมถึงระบบดิจิทัล เช่น e-Classification และ e-DUI Licensing สำหรับตรวจสอบและขอใบอนุญาต.(mondaq.com) ผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักร อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และเทคโนโลยีสื่อสาร ควรถือว่าตนเอง "มีโอกาสเกี่ยวข้องกับ DUI" และต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง.
กรอบกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับ Export Controls
- พระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 (WMD Act) กำกับโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์(dft.go.th)
- ประกาศกระทรวงพาณิชย์และประกาศกรมการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับการควบคุมสินค้าใช้ได้สองทางและมาตรการ End-use/End-user Control
- กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติศุลกากร กฎหมายควบคุมอาวุธยุทโธปกรณ์ กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน)
ขั้นตอนการตรวจสอบว่าสินค้าอยู่ในรายการควบคุมหรือไม่
- รวบรวมข้อมูลเทคนิคของสินค้า
เช่น ชื่อเชิงการค้า ชื่อเทคนิค รุ่น/สเปก กำลังการผลิต วัสดุที่ใช้ ฟังก์ชันสำคัญ ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง - เทียบกับรหัสศุลกากร (HS Code)
เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหารายการควบคุม โดยเฉพาะหากมีบัญชีสินค้าสองทางที่อิง HS Code - ตรวจสอบกับบัญชี "สินค้าสองทาง" และบัญชีสินค้าเกี่ยวกับ WMD
ผ่านเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ เช่น บัญชีรายการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธทำลายล้างสูง หรือผ่านระบบ e-Classification (ถ้ามีการเปิดให้ใช้งานสำหรับหมวดสินค้าที่เกี่ยวข้อง). - ใช้หลัก "สงสัยว่าควบคุม ให้ถือว่าเสี่ยงไว้ก่อน"
หากผลออกมาไม่ชัดเจน ให้ปรึกษากรมการค้าต่างประเทศหรือที่ปรึกษากฎหมาย/ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เพื่อยืนยันว่าจำเป็นต้องขอใบอนุญาตหรือไม่ - ตรวจสอบ End-use/End-user
แม้สินค้าจะไม่อยู่ในบัญชีควบคุม แต่ถ้าทราบหรือควรทราบว่าอาจถูกนำไปใช้เกี่ยวกับ WMD หรือใช้โดยผู้ใช้ปลายทางที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธ ก็อาจต้องขออนุญาตหรือหยุดการส่งออกตามมาตรการ End-use/End-user Control(thailand.go.th)
ตัวอย่างกลุ่มสินค้าเสี่ยงที่มักอยู่ในข่าย Dual-use
| ประเภทสินค้า | ตัวอย่าง | เหตุผลที่เสี่ยง |
| อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง | ชิปความเร็วสูง, อุปกรณ์สื่อสารเข้ารหัส | อาจใช้ในระบบอาวุธหรือระบบสื่อสารทางทหาร |
| เครื่องจักรและอุปกรณ์กระบวนการผลิต | เครื่อง CNC ความละเอียดสูง, เครื่องปั่นเหวี่ยงความเร็วสูง | ใช้ผลิตชิ้นส่วนอาวุธหรือวัสดุนิวเคลียร์ |
| สารเคมีและชีวภาพ | สารเคมีตั้งต้น, อุปกรณ์ห้องปฏิบัติการขนาดใหญ่ | ใช้ผลิตสารเคมีอันตรายหรือชีววัตถุอันตราย |
| อุปกรณ์เซนเซอร์และเลเซอร์ | กล้องอินฟราเรดความละเอียดสูง, เลเซอร์กำลังสูง | ใช้ในระบบชี้เป้าหรือควบคุมอาวุธ |
คำถามติดตาม
- ถ้าสินค้าของเราถูกควบคุมเฉพาะเมื่อส่งออกไปบางประเทศ (เช่น บางประเทศความเสี่ยงสูง) ต้องขอใบอนุญาตเฉพาะกรณีนั้นหรือไม่?
- การส่งตัวอย่างสินค้า/ชิ้นส่วนเพื่อทดสอบในต่างประเทศ ต้องปฏิบัติตามกฎเดียวกับการส่งออกเชิงพาณิชย์หรือไม่?
- การส่งซอฟต์แวร์หรือข้อมูลเทคนิคทางอีเมล/คลาวด์ ถือเป็น "การส่งออก" ตามกฎใดบ้าง?
บทลงโทษทางแพ่งและอาญาจากการฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรและกฎหมายส่งออกมีอะไรบ้าง?
บทลงโทษในด้าน Sanctions & Export Controls แบ่งได้เป็น 3 มิติหลัก คือ (1) บทลงโทษทางอาญา/ปกครองตามกฎหมายไทย (2) ความเสี่ยงถูกลงโทษจากหน่วยงานต่างประเทศ และ (3) ความเสียหายทางธุรกิจและชื่อเสียงที่อาจรุนแรงกว่าโทษทางกฎหมาย. การเข้าใจภาพรวมจะช่วยให้ฝ่ายบริหารมองเห็นว่า Compliance เป็นเรื่อง "กลยุทธ์ธุรกิจ" ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร.
กฎหมายไทย เช่น พระราชบัญญัติ WMD และกฎหมายศุลกากร อาจมีทั้งโทษปรับจำนวนมาก โทษจำคุก รวมถึงมาตรการทางปกครอง เช่น เพิกถอนหรือระงับใบอนุญาตส่งออก อายัดสินค้าหรือระงับการผ่านพิธีการศุลกากร. ในต่างประเทศ มีกรณีบริษัทไทยถูก OFAC สหรัฐฯ ปรับเป็นจำนวนเงินสูงจากการใช้ระบบการเงินสหรัฐฯ ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ถูกคว่ำบาตร.(wsj.com)
ตัวอย่างความเสี่ยงด้านบทลงโทษที่ธุรกิจไทยควรคำนึง
- โทษตามกฎหมายไทย
- โทษจำคุกและปรับ สำหรับการส่งออกสินค้าควบคุมโดยไม่มีใบอนุญาต หรือจงใจฝ่าฝืนมาตรการ End-use/End-user Control
- ยึด อายัด หรือริบสินค้า ต้นทุนการจัดเก็บ และค่าเสียหายจากการส่งมอบล่าช้า
- เพิกถอนใบอนุญาตส่งออกหรือระงับสิทธิด้านภาษี/สิทธิประโยชน์ทางการค้า
- โทษ/ความเสี่ยงจากต่างประเทศ
- ค่าปรับก้อนใหญ่จากหน่วยงานเช่น OFAC (สหรัฐฯ) หรือหน่วยงานของสหภาพยุโรป หากใช้ระบบการเงินหรือบุคคลที่อยู่ภายใต้อำนาจศาลของประเทศนั้น
- ถูกขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมผ่านธนาคารต่างประเทศ หรือถูกปิดบัญชีดอลลาร์/ยูโร
- ธนาคารและคู่ค้าระหว่างประเทศยุติความสัมพันธ์ (De-risking) ส่งผลให้โครงข่ายธุรกิจล่มได้ในเวลาไม่นาน
- ความเสียหายทางธุรกิจและชื่อเสียง
- ลูกค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะ MNC หรือบริษัทจดทะเบียนในประเทศตะวันตก ปิดหรือระงับสัญญา เพราะกังวลเรื่อง Compliance
- ต้นทุนทางกฎหมายและการสืบสวนภายในสูง ใช้ทรัพยากรผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก
- เสียโอกาสด้านตลาดและเงินทุน เช่น ไม่ผ่านการประเมิน ESG/Compliance ของนักลงทุนหรือธนาคาร
คำถามติดตาม
- หากบริษัทละเมิดโดย "ไม่เจตนา" เช่น ตีความข้อกฎหมายผิด หรือถูกลูกค้าปิดบังข้อมูล ยังมีโอกาสลดโทษหรือไม่?
- การเปิดเผยตนเอง (voluntary self-disclosure) ต่อหน่วยงานรัฐหรือธนาคารจะช่วยอย่างไร?
จะจัดทำนโยบาย Compliance และอบรมพนักงานด้าน Sanctions & Export Controls อย่างไร?
การมี "กระดาษหนึ่งแผ่นชื่อ Policy" ไม่เพียงพอสำหรับการบริหารความเสี่ยงด้านคว่ำบาตรและควบคุมการส่งออก. บริษัทควรสร้างระบบ Compliance ที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุมโครงสร้างการกำกับดูแล ขั้นตอนปฏิบัติจริง ระบบบันทึกข้อมูล และการอบรมที่ต่อเนื่อง โดยในกฎหมายและแนวปฏิบัติไทยเองก็ส่งเสริมให้บริษัทมี "Internal Compliance Program (ICP)" ด้าน DUI/Export Controls.(roedl.com)
ยิ่งธุรกิจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Dual-use หรือประเทศ/คู่ค้าที่เสี่ยง ระบบ Compliance ที่รัดกุมยิ่งเป็น "ทรัพย์สิน" ที่สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งหน่วยงานรัฐ ธนาคาร และลูกค้าต่างประเทศ และอาจช่วยให้ได้รับสิทธิผ่อนผันบางอย่าง เช่น ใบอนุญาตแบบ bulk หรือการตรวจสอบที่เร็วขึ้น.
องค์ประกอบหลักของนโยบายและระบบ Compliance ภายใน
- 1. Tone from the Top
- ให้คณะกรรมการและผู้บริหารประกาศจุดยืนชัดเจนว่าบริษัทไม่ยอมรับการละเมิดคว่ำบาตรและกฎหมายส่งออก ไม่ว่ามูลค่าดีลจะน่าสนใจเพียงใด
- กำหนดผู้รับผิดชอบหลัก (เช่น Export Compliance Officer) พร้อมงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอ
- 2. นโยบาย (Policy) และขั้นตอน (SOP)
- ระบุขอบเขต: สินค้า/บริการใด ประเทศใด และประเภทคู่ค้ากลุ่มใดที่ต้องควบคุมเข้มเป็นพิเศษ
- กำหนดขั้นตอน KYC/Screening, การตรวจสอบรายการควบคุมสินค้า, การขอใบอนุญาต, การอนุมัติข้อยกเว้น
- กำหนดระดับการอนุมัติ (approval matrix) เช่น ดีลกับประเทศเสี่ยงต้องผ่านผู้บริหารระดับสูงและฝ่ายกฎหมาย
- 3. การฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้
- จัดอบรมสำหรับทีมขาย/ส่งออก โลจิสติกส์ ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่าย IT และฝ่ายการเงิน เพราะทุกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้อง
- ใช้ตัวอย่างกรณีจริง และ "Red Flag" ที่ใกล้ตัว มากกว่าการอ่านข้อกฎหมายอย่างเดียว
- ทบทวนความรู้เป็นระยะ และอัปเดตเมื่อกฎหมายหรือข้อกำหนดของคู่ค้าเปลี่ยนแปลง
- 4. ระบบบันทึกข้อมูลและตรวจติดตาม (Audit)
- จัดเก็บหลักฐานการคัดกรองคู่ค้า การตรวจสอบสินค้า และการขอใบอนุญาตอย่างเป็นระบบ
- กำหนดการตรวจภายใน (internal audit) เพื่อทดสอบว่าขั้นตอนถูกปฏิบัติจริงหรือไม่
- 5. ช่องทางแจ้งเบาะแสและการจัดการเหตุผิดปกติ
- เปิดช่องทางให้พนักงานรายงานเหตุสงสัยโดยไม่กลัวถูกลงโทษ
- กำหนดขั้นตอนวิเคราะห์เบื้องต้น การหยุดธุรกรรมชั่วคราว และการยกระดับให้ฝ่ายกฎหมาย/ผู้บริหารตัดสินใจ
Checklist สั้นๆ สำหรับผู้บริหาร
- บริษัทมีผู้รับผิดชอบด้าน Sanctions & Export Controls อย่างเป็นทางการหรือยัง?
- มีการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องใน 12 เดือนล่าสุดหรือไม่?
- ดีลในประเทศ "เสี่ยง" ใดบ้างในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเราเชื่อมั่นในกระบวนการอนุมัติ/ตรวจสอบของเราแค่ไหน?
คำถามติดตาม
- บริษัทขนาดกลาง/เล็ก ที่ไม่มีฝ่ายกฎหมายภายใน จะตั้งระบบ Compliance ที่ไม่ซับซ้อนเกินไปได้อย่างไร?
- จำเป็นต้องขอ "ใบรับรอง ICP" จากหน่วยงานรัฐไทยหรือไม่ และให้ประโยชน์อะไรบ้าง?
หากตรวจพบการละเมิดหรือความเสี่ยงฝ่าฝืนแล้วควรทำอย่างไร?
เมื่อพบสัญญาณว่าอาจมีการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรหรือกฎหมายส่งออก สิ่งสำคัญที่สุดคือ "หยุดเลือดไหล" ก่อน แล้วค่อยเก็บข้อมูลและประเมินผลกระทบอย่างเป็นระบบ. การเคลื่อนไหวเร็วแต่รอบคอบจะช่วยลดความเสียหายและสร้างเครดิตหากต้องสื่อสารกับหน่วยงานรัฐ ธนาคาร หรือหน่วยงานต่างประเทศ.
หลายกรณีที่บทลงโทษรุนแรง มาจากการ "ซ่อน ปิดบัง หรือทำให้เอกสารถูกบิดเบือน" มากกว่าการละเมิดครั้งแรก ดังนั้น การตอบสนองที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีบันทึกขั้นตอนการตัดสินใจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง.
ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อพบเหตุสงสัย/การละเมิด
- หยุดหรือชะลอการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องทันที
- ระงับการส่งสินค้า การปล่อยตู้ หรือการจัดส่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (เท่าที่ทำได้โดยไม่ละเมิดสัญญาอื่นเพิ่มเติม)
- ระงับการชำระเงินหรือรับเงิน หากธุรกรรมยังไม่เสร็จสิ้น
- เก็บรักษาหลักฐานทั้งหมด
- อีเมล ใบเสนอราคา สัญญา เอกสารศุลกากร บันทึกการอนุมัติภายใน และบันทึกการสนทนา
- ห้ามแก้ไข ย้อนหลัง หรือทำลายเอกสาร เพราะอาจกลายเป็นประเด็นสำคัญในภายหลัง
- ตั้งทีมสอบสวนภายใน (Internal Investigation)
- ประกอบด้วยฝ่ายกฎหมาย/Compliance ฝ่ายส่งออก ฝ่ายการเงิน และฝ่าย IT (หากต้องกู้ข้อมูล)
- กำหนดขอบเขต: ละเมิดกฎหมายไทย/ต่างประเทศข้อใด เกี่ยวข้องกับดีลใดบ้าง ในช่วงเวลาใด
- ประเมินความจำเป็นในการแจ้งหน่วยงานรัฐหรือธนาคาร
- ในบางกรณี การแจ้งธนาคารหรือหน่วยงานที่กำกับ (พร้อมแผนแก้ไข) อาจช่วยลดระดับความเสี่ยงได้
- พิจารณาเรื่อง "voluntary disclosure" โดยควรทำร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายที่มีประสบการณ์ในเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง
- ดำเนินการแก้ไขและป้องกันซ้ำ (Remediation)
- ทบทวนและอัปเดตนโยบาย/ขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
- อบรมพนักงานเพิ่มเติม โดยใช้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษา (โดยปิดบังรายละเอียดที่จำเป็น)
เมื่อใดควรรีบติดต่อที่ปรึกษากฎหมาย
- เมื่อมีความเป็นไปได้ว่าดีลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับประเทศ/บุคคลที่ถูกคว่ำบาตรอย่างชัดเจน
- เมื่อธนาคารหรือหน่วยงานรัฐติดต่อมาขอข้อมูลในเชิงสืบสวนหรือสอบถามอย่างเป็นทางการ
- เมื่อมีคำถามว่าควรต้องแจ้ง/รายงานต่อหน่วยงานไทยหรือต่างประเทศหรือไม่
คำถามติดตาม
- ถ้าพบการละเมิดย้อนหลังหลายปีแล้ว จะยังมีประโยชน์หรือโอกาสในการเปิดเผยตนเอง (self-disclosure) หรือไม่?
- จะสื่อสารเรื่องนี้กับลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพนักงานอย่างไรเพื่อจำกัดความเสียหาย?
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคว่ำบาตรและการควบคุมการส่งออกที่พบบ่อยคืออะไร?
หลายบริษัทไทยมี "มายาคติ" ด้าน Sanctions & Export Controls ที่ทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญของระบบ Compliance. การแก้ความเข้าใจผิดเหล่านี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการวางระบบ.
- ความเข้าใจผิดที่ 1: "เราเป็นบริษัทไทย ไม่ได้ทำธุรกิจกับรัฐ/ทหารต่างประเทศ จึงไม่ต้องสนใจคว่ำบาตร"
- ในความเป็นจริง สินค้าหรือเทคโนโลยีที่ดู "พลเรือน" เช่น ชิป อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องจักร แม้ขายให้เอกชน ก็อาจเป็น Dual-use ได้
- นอกจากนี้ การใช้ระบบการเงินดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารต่างประเทศ หรือมีบริษัทในกลุ่มที่จดทะเบียนต่างประเทศ อาจทำให้ธุรกรรมเข้าข่ายกฎหมายคว่ำบาตรของประเทศอื่นด้วย
- ความเข้าใจผิดที่ 2: "ธนาคารตรวจแล้ว แปลว่าบริษัทไม่ต้องตรวจเอง"
- ธนาคารมักตรวจเฉพาะบางจุด (ชื่อคู่ค้า, ประเทศ, รายละเอียดการจ่ายเงิน) แต่ไม่รู้รายละเอียดสินค้าและ end-use เท่าผู้ส่งออก
- หากเกิดการละเมิด ผู้ส่งออกยังคงมีความรับผิดตามกฎหมายของตนเอง ไม่สามารถอ้างได้ว่าพึ่งการตรวจจากธนาคารแล้ว
- ความเข้าใจผิดที่ 3: "ดีลมูลค่าเล็ก น่าจะไม่เป็นเป้าเล่นงานของหน่วยงานรัฐ"
- หลายคดีคว่ำบาตรเริ่มจากธุรกรรมเล็กๆ ซ้ำๆ ที่สะท้อน "รูปแบบ" การหลบเลี่ยงมากกว่าขนาดดิลเดียว
- ในทางปฏิบัติ การส่งออกมูลค่าเล็กแต่มีความเสี่ยงสูง (ประเทศหรือสินค้าเสี่ยง) ยังคงถูกตรวจสอบได้
- ความเข้าใจผิดที่ 4: "ใช้บริษัทเทรดดิ้ง/คนกลางจะช่วยตัดความเสี่ยงทางกฎหมายออกไปได้"
- หากบริษัททราบหรือควรทราบว่าสินค้าสุดท้ายจะไปยังประเทศหรือผู้รับปลายทางที่ถูกคว่ำบาตร การใช้คนกลางไม่ช่วยล้างความรับผิด
- การออกแบบโครงสร้างธุรกรรมเพื่อหลบเลี่ยงคว่ำบาตรอาจถูกมองว่าเป็นการ "สมคบ" หรือ "ช่วยเหลือ" ซึ่งเพิ่มโทษแทนที่จะลด
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคว่ำบาตรและ Export Controls สำหรับธุรกิจไทย
ธุรกิจไทยต้องสนใจมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ/ยุโรปด้วยหรือไม่?
หากธุรกรรมเกี่ยวข้องกับระบบการเงินดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารหรือบริษัทในสหรัฐฯ/ยุโรป หรือมีบริษัทในกลุ่มที่อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศเหล่านั้น ธุรกิจไทยมีความเสี่ยงที่มาตรการคว่ำบาตรของประเทศเหล่านั้นจะมีผลทางอ้อม. ดังนั้น แม้จะไม่ใช่ "กฎหมายไทยโดยตรง" แต่การละเลยอาจทำให้ถูกตัดออกจากระบบการเงินหรือถูกลงโทษโดยหน่วยงานต่างประเทศได้.
บริษัท SME ที่ส่งออกปีละไม่มาก ต้องทำระบบ Compliance ใหญ่โตหรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเท่าบริษัทขนาดใหญ่ แต่ควรมีอย่างน้อย คือ (1) แบบฟอร์ม KYC คู่ค้า/คู่สัญญาต่างประเทศ (2) ขั้นตอนคัดกรองรายชื่อคว่ำบาตร และ (3) ขั้นตอนตรวจสอบว่าสินค้าเป็น Dual-use หรือไม่. สามสิ่งนี้ แม้ในรูปแบบเอกสารไม่กี่หน้า ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก.
ถ้าใช้เงินบาทและธนาคารไทยอย่างเดียว ยังเสี่ยงโดนคว่ำบาตรจากต่างประเทศไหม?
ความเสี่ยงลดลงเมื่อไม่ใช้สกุลเงินหรือสถาบันการเงินของประเทศที่ออกคว่ำบาตร แต่ไม่ได้หายไปทั้งหมด โดยเฉพาะหากดีลเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือคู่ค้าที่ถูกคว่ำบาตรอย่างชัดเจน หรือมีบริษัทในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศนั้น. การประเมินความเสี่ยงควรดูทั้งโครงสร้างการเงินและโครงสร้างธุรกรรม.
การส่งซอฟต์แวร์หรือข้อมูลเทคนิคให้ต่างประเทศนับเป็น "การส่งออก" หรือไม่?
ในหลายระบบกฎหมาย รวมถึงแนวทางภายใต้กฎหมายควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ WMD การโอนเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น อีเมล การดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ หรือให้พนักงานต่างชาติเข้าถึงข้อมูล) อาจถือเป็น "การส่งออก" หากข้อมูลนั้นอยู่ในข่ายควบคุม. หากบริษัทมีเทคโนโลยีระดับสูงควรประเมินประเด็นนี้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ.
เราจะเริ่มตรวจสอบว่าสินค้าเกี่ยวข้องกับกฎหมาย WMD ของไทยได้จากที่ไหน?
เบื้องต้นสามารถศึกษากฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้องได้จากเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เช่น หน้ารวมข้อมูลพระราชบัญญัติ WMD พ.ศ. 2562 ที่ กรมการค้าต่างประเทศ(dft.go.th) และบทความอธิบายมาตรการควบคุมสินค้าสองทางและ WMD บนเว็บไซต์ภาครัฐ เช่น thailand.go.th.(thailand.go.th)
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายด้าน Sanctions & Export Controls?
คุณควรพิจารณาจ้างทนายหรือที่ปรึกษากฎหมายเฉพาะทาง เมื่อโครงสร้างธุรกรรมเริ่มซับซ้อน หรือเมื่อมีสัญญาณว่าดีลเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือประเทศเสี่ยง. การปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนวางแผนมักประหยัดกว่าการแก้ไขภายหลังเมื่อเกิดการละเมิดแล้ว.
- กำลังเริ่มส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง หรือสงสัยว่าสินค้าอาจเป็น Dual-use
- มีลูกค้าหรือซัพพลายเออร์จากประเทศที่ถูกคว่ำบาตรบางส่วน หรือมีข้อจำกัดการส่งออกสูง
- ได้รับการสอบถามจากธนาคาร หน่วยงานไทย หรือหน่วยงานต่างประเทศเกี่ยวกับธุรกรรมใดธุรกรรมหนึ่ง
- ต้องการออกแบบระบบ ICP/Compliance Program ทั้งบริษัทให้สอดคล้องกับกฎหมายไทยและมาตรฐานสากล
- มี "ดีลใหญ่ครั้งสำคัญ" ที่มูลค่าสูงหรือเป็นจุดเปลี่ยนธุรกิจ แต่มี element เสี่ยงด้านคว่ำบาตรหรือ Export Controls
ขั้นตอนต่อไปสำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการเสริม Compliance ด้านส่งออกและคว่ำบาตรคืออะไร?
จุดเริ่มต้นที่ดีคือการ "ประเมินช่องโหว่" ในระบบปัจจุบัน แล้วค่อยวางแผนเสริมทีละขั้น. ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างพร้อมกัน แต่ควรมี Roadmap ที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง.
- ทำ Gap Analysis ภายใน 1-2 เดือน
- ทบทวนว่า: วันนี้เรามีอะไรแล้วบ้าง? (เช่น แบบฟอร์ม KYC, ขั้นตอนขอใบอนุญาต, ระบบบันทึกข้อมูล)
- ระบุช่องว่างสำคัญ 3-5 จุดที่เสี่ยงที่สุด (เช่น ไม่มีการคัดกรองคู่ค้าเลย, ไม่เคยตรวจสอบว่าเป็น Dual-use ฯลฯ)
- ตั้ง "เจ้าของเรื่อง" และทีมเล็กๆ
- แต่งตั้งผู้ประสานงานด้าน Sanctions & Export Controls อย่างเป็นทางการ
- รวมทีมจากฝ่ายขาย/ส่งออก โลจิสติกส์ การเงิน และกฎหมาย เพื่อช่วยออกแบบขั้นตอนที่ทำได้จริง
- สร้างหรืออัปเดตนโยบายและ SOP ที่สำคัญ
- เริ่มจาก 3 เรื่องหลัก: KYC คู่ค้า, การตรวจสินค้า/ใบอนุญาต, และขั้นตอนเมื่อพบเหตุสงสัย
- ทำให้สั้น ชัด ใช้งานจริงได้ แล้วค่อยเพิ่มรายละเอียดในระยะถัดไป
- ฝึกอบรมและสื่อสารภายใน
- จัดอบรมสั้นๆ ให้ทีมขายและทีมปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องโดยตรง
- ใช้ตัวอย่างเคสจริง (ไม่ต้องระบุชื่อบริษัท) ให้เห็นว่าความเสียหายอาจสูงแค่ไหน
- พิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภายนอก
- หากองค์กรเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือประเทศเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบโครงสร้างธุรกรรม สัญญา และนโยบายสำคัญ
- สามารถเริ่มจากการขอ "Legal Opinion" หรือ "Compliance Review" ในขอบเขตที่จำกัดก่อน แล้วค่อยขยาย
เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ ธุรกิจไทยจะไม่เพียงแค่ "ลดความเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย" แต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้ธนาคาร นักลงทุน และคู่ค้าระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นแต้มต่อสำคัญในสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่เข้มงวดขึ้น