กรรมการบริษัทรับผิดอะไรบ้างใน Thailand เสี่ยงคดีไหน

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025
  • กรรมการบริษัทในไทยมีความรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง หากฝ่าฝืนหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
  • มาตรา 1168 ป.พ.พ. และมาตรา 89/7 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ กำหนดให้กรรมการต้องใช้ความระมัดระวังและความซื่อสัตย์สุจริตในระดับ "วิญญูชนผู้ประกอบธุรกิจ" มิใช่เพียงคนธรรมดาทั่วไป
  • ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) และรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน เป็นจุดเสี่ยงสำคัญที่มักนำไปสู่การถูกฟ้องร้องหรือถูกลงโทษจากหน่วยงานกำกับ
  • คำพิพากษาศาลฎีกาและคดีที่ ก.ล.ต. ดำเนินการ แสดงให้เห็นว่ากรรมการสามารถถูกจำคุก ถูกปรับสูง และถูกเพิกถอนสิทธิการเป็นกรรมการ/ผู้บริหารเป็นเวลาหลายปี
  • นโยบายคณะกรรมการที่ชัดเจน ระบบกำกับดูแลที่ดี และการทำประกันความรับผิดกรรมการ (D&O) เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง แต่ไม่สามารถปกป้องการทุจริตหรือการกระทำโดยเจตนาผิดกฎหมาย
  • การฝังวัฒนธรรมธรรมาภิบาล การอบรมกรรมการ และการขอคำปรึกษาทางกฎหมายเชิงป้องกัน เป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยลดโอกาสเกิดข้อพิพาทและการถูกดำเนินคดีอย่างมีนัยสำคัญ

ความรับผิดของกรรมการบริษัทในไทยคืออะไร และทำไมสำคัญต่อคณะกรรมการ?

ความรับผิดของกรรมการบริษัทในไทยครอบคลุมทั้งความรับผิดทางแพ่งต่อบริษัท ผู้ถือหุ้น และบุคคลภายนอก ตลอดจนความรับผิดทางอาญาและทางปกครองต่อรัฐและหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในบริษัทมหาชนและบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุน กรรมการมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ความซื่อสัตย์สุจริต และเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทเป็นสำคัญ หากละเลยหรือฝ่าฝืน ไม่เพียงบริษัทจะเสียหาย แต่กรรมการอาจต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวทั้งทรัพย์สิน ชื่อเสียง และเสรีภาพ

บทความนี้มุ่งตอบโจทย์ "เข้าใจและลงมือทำ" สำหรับผู้บริหารและคณะกรรมการ (B2B) ที่ต้องการทั้งเข้าใจกรอบกฎหมายไทยเกี่ยวกับความรับผิดของกรรมการ และมองหาแนวทางป้องกันเชิงนโยบาย เช่น การออกกฎบัตรกรรมการ ระบบบริหารความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และกลยุทธ์ประกัน D&O เพื่อเสริมเกราะป้องกันเชิงโครงสร้างให้ธุรกิจ

หน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายของกรรมการบริษัทไทยมีอะไรบ้าง?

กรรมการบริษัทไทยมีหน้าที่ตามกฎหมายหลายชั้น ทั้งในฐานะตัวแทนของบริษัทและในฐานะ "ผู้พิทักษ์ผลประโยชน์" ของบริษัทและผู้ถือหุ้น โดยหลักสำคัญคือ ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรา 1168 ป.พ.พ.) และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต (มาตรา 89/7 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ สำหรับบริษัทมหาชน/จดทะเบียน). หากฝ่าฝืน กรรมการอาจต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ถูกฟ้องคดีแพ่ง หรือถูกลงโทษทางอาญาได้

1.1 กฎหมายหลักที่กำหนดหน้าที่กรรมการในไทย

สำหรับบริษัทในไทย กรรมการต้องพิจารณากฎหมายหลักกลุ่มต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย:

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) สำหรับบริษัทจำกัดเอกชน กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ เช่น มาตรา 1168 ว่ากรรมการต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวัง และต้องรับผิดร่วมกันในเรื่องสำคัญ เช่น การเรียกชำระค่าหุ้น การจัดทำบัญชี การจ่ายเงินปันผล และการบังคับมติผู้ถือหุ้น
  • พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 สำหรับบริษัทมหาชน กำหนดว่าในการดำเนินกิจการของบริษัท กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับ และมติที่ประชุม (เช่น มาตรา 85 และบทลงโทษที่เกี่ยวข้อง)
  • พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (สำหรับบริษัทจดทะเบียนและบางนิติบุคคลในตลาดทุน) โดยมาตรา 89/7-89/10 กำหนดหน้าที่ด้านความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงหน้าที่ในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และการปฏิบัติตามกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค, กฎหมายภาษีอากร, กฎหมายแรงงาน, กฎหมายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่มักกำหนดให้กรรมการหรือผู้จัดการเป็นผู้รับผิดทางอาญาร่วมกับบริษัทหากฝ่าฝืน
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (Corporate Offences Act) ซึ่งกำหนดฐานความผิดและโทษอาญาในกรณีกรรมการละเลยหน้าที่ตามกฎหมายบริษัท เช่น ไม่จัดทำงบการเงิน หรือแสดงข้อความเท็จต่อทางการ

1.2 ประเภทความรับผิดของกรรมการ: แพ่ง อาญา และทางปกครอง

โดยสรุป ความรับผิดของกรรมการสามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่:

  • ความรับผิดทางแพ่งต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น
    • หากกรรมการละเลยหน้าที่หรือจงใจทำให้บริษัทเสียหาย บริษัทมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการได้ (เช่น ภายใต้มาตรา 1168 ป.พ.พ. และมาตรา 85 พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด)
    • หากบริษัทไม่ดำเนินการ ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นถึงเกณฑ์ (โดยทั่วไปตั้งแต่ 5% ขึ้นไปในบริษัทมหาชน) สามารถใช้สิทธิฟ้องแทนบริษัทได้ (derivative action) ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
    • กรรมการอาจต้องรับผิดส่วนตัวหากทำการนอกอำนาจ (ultra vires) หรือฝ่าฝืนวัตถุประสงค์/ข้อบังคับโดยไม่ได้รับการให้สัตยาบันจากผู้ถือหุ้น
  • ความรับผิดทางแพ่งต่อบุคคลภายนอก
    • หลักทั่วไปคือ บริษัทเป็นผู้รับผิดต่อบุคคลภายนอก แต่หากกรรมการทำเกินอำนาจหรือโดยทุจริต และบริษัทไม่ให้สัตยาบัน กรรมการอาจต้องรับผิดโดยตรงต่อคู่สัญญาหรือลูกหนี้เจ้าหนี้
    • หากกรรมการละเมิดสิทธิบุคคลภายนอกโดยตรง (เช่น ฉ้อโกง ยักยอก) อาจถูกฟ้องในฐานะบุคคลธรรมดาตามมาตรา 420 ป.พ.พ. ควบคู่กับบริษัท
  • ความรับผิดทางอาญาและทางปกครอง
    • หลายกฎหมายกำหนดให้กรรมการหรือผู้จัดการรับผิดร่วมกับบริษัทหากมีการกระทำผิด เช่น ไม่ยื่นงบการเงินตามกำหนด, ยื่นเอกสารเท็จต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า, ฝ่าฝืนกฎหมายหลักทรัพย์ ฯลฯ
    • บทลงโทษอาจรวมถึงโทษปรับจำนวนมาก โทษจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงมาตรการทางปกครอง เช่น การห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาหลายปีจากคำสั่งของ ก.ล.ต.

1.3 เปรียบเทียบหน้าที่กรรมการ: บริษัทจำกัด vs บริษัทมหาชน vs บริษัทจดทะเบียน

ประเภทธุรกิจ กฎหมายหลัก มาตรฐานหน้าที่กรรมการ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
บริษัทจำกัด (เอกชน) ป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะบริษัทจำกัด ใช้ความระมัดระวังอย่างบุคคลค้าขายที่ดี, จัดทำบัญชี, เรียกชำระค่าหุ้น, จ่ายปันผลและบังคับมติผู้ถือหุ้นอย่างถูกต้อง ข้อพิพาทภายในระหว่างผู้ถือหุ้น/ครอบครัว, การไม่ทำบัญชีหรือยื่นงบ, การใช้ทรัพย์สินบริษัทส่วนตัว
บริษัทมหาชน พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับ และมติ, เปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นอย่างถูกต้องครบถ้วน โครงสร้างผู้ถือหุ้นซับซ้อนขึ้น, กฎเกณฑ์การประชุมผู้ถือหุ้น/คณะกรรมการเข้มงวดขึ้น, ความเสี่ยงถูกฟ้องโดยผู้ถือหุ้นส่วนน้อยสูงขึ้น
บริษัทจดทะเบียนในตลาดทุน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ + กฎเกณฑ์ ก.ล.ต./ตลาดหลักทรัพย์ ต้องปฏิบัติตามมาตรา 89/7-89/10: ความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง ความซื่อสัตย์สุจริต และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ใช้มาตรฐาน "วิญญูชนผู้ประกอบธุรกิจเช่นนั้น" และต้องปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลเพิ่มเติม (CG Code) การกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์, ความเสี่ยงถูกลงโทษทางแพ่งและทางปกครอง, การตรวจสอบจากผู้ลงทุนและสื่อมวลชน

1.4 เช็กลิสต์เบื้องต้น: พฤติการณ์ที่ทำให้กรรมการเสี่ยงถูกฟ้องหรือถูกลงโทษ

  • ไม่เรียกชำระค่าหุ้นอย่างจริงจัง หรือปล่อยให้มีผู้ถือหุ้น "ตัวแทน" ที่ไม่ชำระค่าหุ้นจริง
  • ไม่จัดทำหรือเก็บรักษาบัญชีและเอกสารตามกฎหมาย หรือยื่นงบการเงินล่าช้า/ข้อมูลไม่ถูกต้อง
  • อนุมัติจ่ายปันผลในขณะที่บริษัทขาดทุนสะสม หรือไม่มีกำไรตามที่กฎหมายกำหนด
  • ลงนามหรือยินยอมให้ยื่นเอกสารเท็จต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือหน่วยงานรัฐอื่น
  • ละเลยหรือเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการทุจริต การเบียดบังทรัพย์สินบริษัท หรือการบันทึกบัญชีไม่ถูกต้อง
  • ไม่เปิดเผย หรือไม่ขออนุมัติธุรกรรมสำคัญกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ตามเกณฑ์ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์

กรรมการบริษัทควรจัดการประเด็นจริยธรรมและความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างไร?

กรรมการที่ดีต้องไม่เพียงปฏิบัติตามตัวบทกฎหมาย แต่ยังต้องรักษามาตรฐานจริยธรรมและบริหารความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ การไม่เปิดเผยหรือไม่จัดการ conflict of interest อย่างเหมาะสมสามารถกลายเป็นฐานฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา และในบริษัทจดทะเบียนอาจนำไปสู่มาตรการลงโทษจาก ก.ล.ต. รวมถึงการห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารได้

2.1 ความขัดแย้งทางผลประโยชน์คืออะไรในบริบทกฎหมายไทย

ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เกิดขึ้นเมื่อกรรมการมีผลประโยชน์ส่วนตน (ตรงหรืออ้อม) ที่อาจกระทบต่อความเป็นกลางของการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของบริษัท ตัวอย่างเช่น:

  • กรรมการหรือครอบครัวถือหุ้นในบริษัทคู่ค้า คู่สัญญา หรือคู่แข่งขันของบริษัท
  • กรรมการมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่บริษัทจะซื้อ/ขาย หรือในโครงการลงทุนที่บริษัทกำลังพิจารณา
  • กรรมการได้รับค่าตอบแทน แรงจูงใจ หรือผลประโยชน์อื่นจากบุคคลภายนอก เพื่อโน้มน้าวการตัดสินใจของคณะกรรมการ

กฎหมายไทยกำหนดให้กรรมการต้องเปิดเผยและจัดการความขัดแย้งดังกล่าว เช่น พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด กำหนดให้กรรมการต้องแจ้งส่วนได้เสียในสัญญาที่บริษัททำและการถือหุ้น/หุ้นกู้ของตน ในขณะที่ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 89/10 กำหนดหน้าที่ด้านความซื่อสัตย์สุจริตและการไม่กระทำการในลักษณะที่ขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญกับผลประโยชน์ของบริษัท

2.2 ข้อกำหนดสำคัญสำหรับบริษัทมหาชนและบริษัทจดทะเบียน

  • การเปิดเผยส่วนได้เสีย: กรรมการและผู้บริหารต้องรายงานการมีส่วนได้เสียต่อบริษัท (เช่น ตามมาตรา 89/14 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) และให้คณะกรรมการหรือคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณา
  • รายการที่เกี่ยวโยงกัน (Related Party Transactions): ธุรกรรมกับกรรมการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์การอนุมัติและการเปิดเผยข้อมูลของ ก.ล.ต. อย่างเคร่งครัด
  • ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยสามารถท้าทายได้: ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกินเกณฑ์กำหนดสามารถคัดค้านหรือร้องเรียนรายการที่สงสัยว่าเอื้อประโยชน์แก่กรรมการหรือผู้บริหารได้ตามแนวทางที่ ก.ล.ต. อธิบายไว้ใน FAQ สิทธิผู้ถือหุ้น เช่น หน้า FAQ บนเว็บไซต์ สำนักงาน ก.ล.ต.
  • มาตรฐาน CG Code: ก.ล.ต. แนะนำให้บริษัทจดทะเบียนใช้แนวปฏิบัติธรรมาภิบาลที่เน้นความเป็นอิสระของกรรมการ การบริหารความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และการคุ้มครองผู้ถือหุ้นส่วนน้อย โดยอ้างอิงแนวทางใน CG Code ซึ่งอธิบายไว้ในเอกสารของ สำนักงาน ก.ล.ต.

2.3 ตัวอย่างสถานการณ์ Conflict of Interest ที่ต้องระวัง

  • กรรมการเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้าง แล้วบริษัทกำลังจะทำสัญญาก่อสร้างอาคารสำนักงาน หากไม่มีการเปิดเผยและเว้นวรรคจากการลงมติ อาจถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ตนเอง
  • กรรมการเสนอบริษัทให้ปล่อยกู้แก่บริษัทที่ครอบครัวถือหุ้นใหญ่ โดยไม่มีหลักประกันเพียงพอและไม่มีการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • กรรมการใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลประกอบการหรือดีล M&A ที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะไปซื้อขายหุ้นของบริษัท เพื่อเก็งกำไรส่วนตัว (insider trading)

2.4 นโยบายและเครื่องมือบริหารความขัดแย้งทางผลประโยชน์

คณะกรรมการควรมีอย่างน้อย:

  • นโยบายความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest Policy) กำหนดนิยาม ตัวอย่าง พฤติกรรมต้องห้าม ขั้นตอนการเปิดเผย และวิธีการจัดการ (เช่น เว้นจากการประชุม/ลงมติ)
  • ระเบียบการทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน (RPT Policy) ที่ชัดเจนเรื่องอำนาจอนุมัติ เกณฑ์ราคา ความเป็นธรรม และการเปิดเผยข้อมูล
  • นโยบายการใช้ข้อมูลภายใน ห้ามใช้ข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะไปซื้อขายหลักทรัพย์ (insider trading) และกำหนด blackout period สำหรับกรรมการ/ผู้บริหาร
  • ช่องทางร้องเรียนและผู้แจ้งเบาะแส (whistleblowing) ที่เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร เพื่อให้พนักงานและผู้มีส่วนได้เสียแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตหรือ conflict of interest ได้อย่างปลอดภัย

มีกรณีศึกษาใดบ้างที่แสดงให้เห็นความเสี่ยงความรับผิดของกรรมการในไทย?

ประสบการณ์คดีจริงในไทยสะท้อนว่าความรับผิดของกรรมการไม่ได้เป็นเพียง "ทฤษฎี" หลายคดีศาลฎีกาและการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต. แสดงให้เห็นว่ากรรมการบริษัท ทั้งในบริษัทมหาชนและเอกชน สามารถถูกจำคุก ถูกปรับจำนวนมาก และถูกตัดสิทธิการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารได้เมื่อกระทำหรือยินยอมให้มีการกระทำที่ทำให้บริษัท ผู้ถือหุ้น หรือผู้ลงทุนเสียหาย. การเรียนรู้จากกรณีเหล่านี้ช่วยให้คณะกรรมการออกแบบระบบป้องกันได้ตรงจุดขึ้น

3.1 กรณีการให้ข้อมูลเท็จ/บิดเบือนในบริษัทมหาชน

มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายคดีที่กรรมการบริษัทมหาชนและผู้บริหารถูกลงโทษตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ จากการให้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนต่อผู้ถือหุ้นและตลาดทุน ตัวอย่างเช่น คดีที่กรรมการอนุมัติหรือยินยอมให้มีการนำเสนอข้อมูลทางการเงินหรือสารสนเทศสำคัญที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุมผู้ถือหุ้นหรือเอกสารเผยแพร่ต่อสาธารณะ จนผู้ลงทุนเสียหาย ศาลอาจวินิจฉัยให้กรรมการต้องรับผิดทั้งในทางอาญาและชดใช้ค่าเสียหาย

บทเรียนสำหรับคณะกรรมการ:

  • ต้องไม่ลงนามในเอกสาร หรืออนุมัติการเปิดเผยข้อมูลที่ตนเองไม่เข้าใจหรือมีข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญ
  • หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับงบการเงินหรือการประเมินมูลค่า ควรถามผู้สอบบัญชีหรือที่ปรึกษาอย่างชัดเจน และให้มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร
  • กรรมการไม่สามารถป้องกันตัวเองด้วยข้ออ้างว่า "ไม่รู้เรื่องบัญชี" หากละเลยไม่สอบถามหรือไม่ใช้ความระมัดระวังในระดับที่คาดหวังจากวิญญูชนผู้ประกอบธุรกิจ

3.2 กรณีเบียดบังทรัพย์สินบริษัทและ conflict of interest

อีกกลุ่มคดีที่พบบ่อย คือ กรรมการใช้ทรัพย์สินหรือโอกาสทางธุรกิจของบริษัทเพื่อประโยชน์ตนเองหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น ซื้อทรัพย์สินของบริษัทในราคาต่ำกว่าตลาด ขายทรัพย์สินให้บริษัทในราคาสูงเกินจริง หรือโอนเงินบริษัทให้บริษัทของตนเองโดยอ้างเป็นการให้กู้ยืมโดยไม่มีหลักประกันเพียงพอ ทั้งกฎหมายบริษัทและกฎหมายหลักทรัพย์ฯ ต่างมองว่าการกระทำเช่นนี้หากไม่มีการอนุมัติหรือเปิดเผยอย่างถูกต้อง ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่ของกรรมการและอาจเข้าข่ายความผิดอาญา

บทเรียนสำหรับคณะกรรมการ:

  • ทุกธุรกรรมที่กรรมการหรือบุคคลที่เกี่ยวโยงกันมีส่วนได้เสีย ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่เข้มงวดกว่าธุรกรรมทั่วไป และมีการเปิดเผยอย่างโปร่งใส
  • กรรมการที่มีส่วนได้เสียต้องแจ้งอย่างเป็นทางการ และไม่ควรเข้าร่วมการลงมติในเรื่องนั้น
  • ควรมีคณะกรรมการอิสระหรือคณะกรรมการตรวจสอบที่แข็งแรง ทำหน้าที่กลั่นกรองรายการที่มี conflict of interest

3.3 กรณีการละเมิดสิทธิผู้ถือหุ้นและการประชุมผู้ถือหุ้น

มีกรณีที่ ก.ล.ต. ใช้กฎหมายหลักทรัพย์ฯ และ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด ดำเนินการกับกรรมการที่ขัดขวางไม่ให้ผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมหรือลงคะแนนเสียงตามสิทธิ ตัวอย่างเช่น การปฏิเสธไม่ให้ผู้ถือหุ้นบางรายเข้าประชุม AGM โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือการจัดการประชุมที่ขัดต่อกฎหมาย/ข้อบังคับอย่างชัดแจ้ง ซึ่ง ก.ล.ต. เคยออกข่าวเตือนและดำเนินการทางกฎหมายต่อคณะกรรมการบริษัทที่เกี่ยวข้อง

บทเรียนสำหรับคณะกรรมการ:

  • ต้องเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ถือหุ้นในการเข้าร่วมประชุม รับข้อมูลข่าวสาร และใช้สิทธิออกเสียงอย่างเท่าเทียม
  • ควรให้ฝ่ายกฎหมายทบทวนขั้นตอนและเอกสารในการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นทุกครั้ง โดยเฉพาะบริษัทมหาชนและบริษัทจดทะเบียน
  • การจัดประชุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เพียงทำให้มติเป็นโมฆะ แต่ยังเสี่ยงให้กรรมการถูกดำเนินคดีและถูกปรับในระดับสูง

คณะกรรมการควรวางนโยบายและใช้ประกันความรับผิดกรรมการ (D&O) อย่างไร?

นโยบายคณะกรรมการที่ชัดเจนและการมีประกันความรับผิดของกรรมการและผู้บริหาร (Directors & Officers Liability Insurance - D&O) เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงของบริษัท โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีผู้ถือหุ้นหลายกลุ่ม นักลงทุนต่างชาติ หรืออยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ตลาดทุน อย่างไรก็ดี D&O ไม่ใช่เกราะป้องกันการทุจริตหรือการกระทำโดยเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าเสียหายจากการกระทำโดยสุจริตที่ถูกฟ้องร้องภายหลัง

4.1 D&O Insurance คืออะไร และปกป้องกรรมการอย่างไร

โดยทั่วไป เคลมความคุ้มครองของ D&O ในไทยมักครอบคลุม:

  • ความคุ้มครองต่อกรรมการและผู้บริหารเป็นการส่วนตัว (Side A) สำหรับค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าเสียหายจากการถูกฟ้องในฐานะกรรมการ/ผู้บริหาร
  • การชดใช้ให้บริษัทเมื่อบริษัทชดใช้ให้กรรมการ (Side B) เช่น บริษัทจ่ายค่าใช้จ่ายให้กรรมการก่อน แล้วมาขอเบิกจากกรมธรรม์
  • ความคุ้มครองต่อบริษัทในฐานะนิติบุคคล (Side C - มักเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านหลักทรัพย์ในบริษัทจดทะเบียน)
  • ความคุ้มครองเพิ่มเติม เช่น ข้อพิพาทด้านการจ้างงาน (employment practices liability) หรือข้อพิพาทกับหน่วยงานกำกับ

อย่างไรก็ตาม โดยหลักสากลและในกรมธรรม์ส่วนใหญ่ในไทย D&O มักไม่คุ้มครอง:

  • การกระทำโดยทุจริตหรือทุจริตโดยเจตนา เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุด
  • ค่าปรับทางอาญาบางประเภท หรือโทษทางอาญา (เช่น ค่าปรับอาญาที่ไม่สามารถประกันได้ตามกฎหมาย)
  • การได้มาซึ่งกำไรหรือประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

4.2 กลยุทธ์ออกแบบความคุ้มครอง D&O สำหรับบริษัทในไทย

แนวทางเชิงปฏิบัติสำหรับคณะกรรมการและฝ่ายบริหาร ได้แก่:

  1. ประเมินระดับความเสี่ยงของบริษัท
    • ลักษณะธุรกิจ (เช่น การเงิน ประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน มีความเสี่ยงทางกำกับดูแลสูง)
    • โครงสร้างผู้ถือหุ้นและจำนวนผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
    • ประวัติข้อพิพาท การร้องเรียนจากผู้ถือหุ้น หรือการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐในอดีต
  2. กำหนดวงเงินความคุ้มครองและขอบเขตกรมธรรม์
    • วงเงินต่อปี และต่อเหตุ (aggregate/any one claim)
    • การขยายคุ้มครองไปยังกรรมการบริษัทย่อย ในและต่างประเทศ
    • ระยะเวลารายงานเหตุ (claims-made basis) และ period ขยายเวลาแจ้งเหตุ (run-off / extended reporting period) โดยเฉพาะในกรณีเปลี่ยนผู้ถือหุ้นหรือเลิกกิจการ
  3. ตรวจสอบเงื่อนไขยกเว้น เช่น
    • ข้อยกเว้นเกี่ยวกับการรู้เห็นล่วงหน้าของกรรมการบางราย (prior knowledge)
    • ข้อยกเว้นเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายเฉพาะ (เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม, กฎหมายต่อต้านคอร์รัปชัน) และดูว่ามี endorsement เพิ่มความคุ้มครองได้หรือไม่
  4. เชื่อมโยง D&O กับโครงสร้างธรรมาภิบาล
    • ใช้การทำ D&O เป็นโอกาสทบทวนโครงสร้างคณะกรรมการ นโยบายการมอบอำนาจ และกระบวนการตัดสินใจเรื่องสำคัญ
    • บริษัทที่มีระบบบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในดี มักได้เงื่อนไขเบี้ยประกันที่ดีกว่า

4.3 นโยบายและกฎบัตรคณะกรรมการที่ควรมี

นอกเหนือจาก D&O คณะกรรมการควรกำหนดเอกสารนโยบายหลักอย่างน้อยดังนี้:

  • กฎบัตรคณะกรรมการ (Board Charter) ระบุบทบาท หน้าที่ อำนาจ และความรับผิดชอบของคณะกรรมการและประธานกรรมการ
  • กฎบัตรคณะกรรมการตรวจสอบ/คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ที่ชัดเจนเรื่องขอบเขตการกำกับดูแลงานการเงิน บัญชี การตรวจสอบภายใน และการจัดการความเสี่ยง
  • นโยบายการมอบอำนาจ (Delegation of Authority - DOA) แบ่งระดับอำนาจอนุมัติธุรกรรมและค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน ลดโอกาสที่กรรมการหรือผู้บริหารคนเดียวจะตัดสินใจเรื่องสำคัญโดยลำพัง
  • นโยบายการจัดการเอกสารและการบันทึกมติ ให้มีการทำรายงานการประชุมอย่างละเอียด ระบุข้อโต้แย้งหรือความเห็นแย้งของกรรมการแต่ละคน เพื่อช่วยคุ้มครองกรรมการที่ใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม

แนวทางปฏิบัติใดบ้างที่ช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายของกรรมการไทย?

กรรมการไม่อาจควบคุมความเสี่ยงทุกอย่างได้ แต่สามารถลดโอกาสต้องรับผิดส่วนตัวได้อย่างมีนัยสำคัญด้วยการฝังแนวปฏิบัติที่ถูกต้องในชีวิตการทำงานประจำวันของคณะกรรมการ ตั้งแต่การตัดสินใจบนข้อมูลที่เพียงพอ การจดบันทึกการใช้ดุลพินิจ ไปจนถึงการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น แนวทางเหล่านี้ยังช่วยยกระดับธรรมาภิบาลและเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นและคู่ค้าอีกด้วย

5.1 ก่อนรับตำแหน่งกรรมการ: ตรวจสอบและเตรียมตัว

  • ขอรับและอ่านเอกสารสำคัญ เช่น ข้อบังคับบริษัท สัญญาสำคัญ งบการเงินย้อนหลังอย่างน้อย 2-3 ปี รายงานผู้สอบบัญชี และรายงานความเสี่ยงหลัก
  • สอบถามถึงข้อพิพาทหรือการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐที่บริษัทกำลังเผชิญ เช่น ภาษี แรงงาน สิ่งแวดล้อม หรือหลักทรัพย์
  • ตรวจสอบว่าบริษัทมี D&O หรือไม่ และความคุ้มครองครอบคลุมกรรมการอิสระ/กรรมการย่อยหรือไม่
  • หากพบสัญญาณความเสี่ยงสูง ควรขอคำปรึกษาจากทนายความอิสระก่อนตัดสินใจรับตำแหน่ง

5.2 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่: ใช้มาตรฐาน "วิญญูชนผู้ประกอบธุรกิจ" อย่างเป็นรูปธรรม

  • เตรียมตัวก่อนประชุม: อ่านเอกสารล่วงหน้า ตั้งคำถาม และขอข้อมูลเพิ่มเติมหากยังไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ
  • จดบันทึกคำถามและความเห็น: ขอให้บันทึกในรายงานการประชุม โดยเฉพาะเมื่อตนเองมีความเห็นแตกต่างหรือมีข้อกังวลสำคัญ
  • ขอที่ปรึกษาอย่างเหมาะสม: สำหรับประเด็นซับซ้อน เช่น M&A ข้อตกลงผู้ถือหุ้น หรือโครงสร้างภาษี ควรให้ที่ปรึกษากฎหมาย/การเงินให้ความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร
  • เว้นจากการลงมติเมื่อมี conflict of interest: และให้บันทึกการเว้นลงมติไว้ในรายงานการประชุมอย่างชัดเจน
  • ติดตามการปฏิบัติตามมติ: มติคณะกรรมการที่สำคัญควรถูกติดตามผล ไม่ใช่เพียงผ่านการลงมติแล้วปล่อยให้ฝ่ายจัดการดำเนินการลำพัง

5.3 เมื่อตรวจพบความผิดปกติหรือความเสี่ยงสูง

  • ขอให้บันทึกข้อกังวลของตนเองอย่างชัดเจนในรายงานการประชุม
  • เสนอให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น การสอบสวนภายใน การใช้ forensic audit หรือการขอความเห็นจากที่ปรึกษาภายนอก
  • หากกรรมการส่วนใหญ่ไม่ดำเนินการ และความเสี่ยงมีนัยสำคัญ กรรมการรายบุคคลอาจจำเป็นต้องพิจารณา:
    • แจ้งข้อมูลต่อคณะกรรมการตรวจสอบ/ผู้สอบบัญชี
    • ขอคำปรึกษาจากทนายความส่วนตัวเกี่ยวกับหน้าที่ในการรายงานต่อหน่วยงานรัฐ (ในบางกรณี)
    • ในสถานการณ์ร้ายแรง อาจพิจารณาลาออกเพื่อไม่ให้ตนเองถูกผูกพันกับการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง

5.4 ค่าใช้จ่ายและทรัพยากรที่ควรเผื่อไว้

  • งบประมาณอบรมกรรมการประจำปี: การจัดอบรมหรือเวิร์กช็อปเรื่องธรรมาภิบาล กฎหมายบริษัท และตลาดทุนอย่างน้อยปีละครั้ง (โดยมากค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับผู้จัดและรูปแบบ)
  • ค่าที่ปรึกษากฎหมายเชิงป้องกัน: การให้สำนักงานกฎหมายหรือที่ปรึกษาเข้าตรวจสุขภาพด้านกฎหมายและธรรมาภิบาลปีละครั้ง ช่วยค้นหาจุดเสี่ยงก่อนกลายเป็นคดี
  • เบี้ยประกัน D&O: สำหรับบริษัทขนาดกลาง ส่วนใหญ่เบี้ยต่อปีจะขึ้นอยู่กับวงเงินความคุ้มครอง ประวัติการเคลม ลักษณะธุรกิจ และโครงสร้างผู้ถือหุ้น การเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายบริษัทประกันช่วยได้มาก

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับความรับผิดของกรรมการบริษัทในไทย

ความเข้าใจผิดเหล่านี้มักทำให้กรรมการตัดสินใจบนสมมติฐานที่อันตราย และเพิ่มความเสี่ยงทางกฎหมายโดยไม่จำเป็น

  • "เป็นกรรมการนอมินีเฉย ๆ ไม่ลงชื่ออะไร ก็ไม่เป็นไร"
    ในทางกฎหมาย ชื่อกรรมการที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและหน่วยงานกำกับถือเป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้เบื้องหลังจะมี "ตัวจริง" คอยสั่งการ ถ้าปล่อยให้มีการกระทำผิดและไม่คัดค้านหรือไม่ทำอะไรเลย กรรมการนอมินีอาจต้องรับผิดเช่นเดียวกับกรรมการตัวจริง
  • "มติผู้ถือหุ้นอนุมัติแล้ว กรรมการก็พ้นความรับผิดทั้งหมด"
    ในบางกรณี มติผู้ถือหุ้นอาจช่วยลดความรับผิดระหว่างกรรมการกับบริษัทหรือผู้ถือหุ้นบางส่วน แต่ไม่สามารถลบล้างความผิดทางอาญา หรือความรับผิดต่อผู้ถือหุ้นส่วนน้อย/บุคคลภายนอกได้ โดยเฉพาะในบริษัทมหาชนที่มีกฎหมายพิเศษคุ้มครองผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
  • "มีประกัน D&O แล้ว ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัว"
    D&O ไม่คุ้มครองการทุจริตโดยเจตนา การได้มาซึ่งประโยชน์อย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือค่าปรับทางอาญาจำนวนมาก กรรมการยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและสุจริต มิฉะนั้นอาจไม่ได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ และยังต้องรับผิดส่วนตัว

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความรับผิดของกรรมการบริษัทในไทย

ถ้าเป็นกรรมการแต่ไม่เคยเข้าประชุมหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับงาน จะยังมีความรับผิดหรือไม่?

ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะกฎหมายมองหน้าที่ของกรรมการในฐานะ "ตำแหน่ง" ไม่ใช่เฉพาะคนที่ลงมือทำจริง กรรมการที่ปล่อยปละละเลยไม่เข้าประชุม ไม่ติดตามงาน ไม่สอบถามเมื่อเห็นความผิดปกติ อาจถูกมองว่า "ละเลยหน้าที่" และต้องรับผิดร่วมกับกรรมการคนอื่นได้ การไม่รู้ไม่ใช่ข้ออ้างหากควรรู้ด้วยการใช้ความระมัดระวังที่เหมาะสม

บริษัทสามารถทำข้อบังคับยกเว้นความรับผิดให้กรรมการได้หรือไม่?

โดยหลักทั่วไป บริษัทไม่ควรและไม่สามารถยกเว้นความรับผิดให้กรรมการในส่วนที่เป็นการฝ่าฝืนหน้าที่ด้วยความไม่สุจริตหรือโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในบริษัทมหาชนและบริษัทจดทะเบียน แนวทางของ ก.ล.ต. มีทิศทางชัดเจนว่าไม่ควรให้มีข้อบังคับที่ยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของกรรมการในส่วนที่ละเมิดหน้าที่ความซื่อสัตย์สุจริตและความระมัดระวัง

ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะฟ้องกรรมการที่ทำให้บริษัทเสียหายได้อย่างไร?

หากบริษัทไม่ดำเนินการ ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นถึงเกณฑ์ตามกฎหมาย (โดยทั่วไปตั้งแต่ 5% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วในบริษัทมหาชน) สามารถแจ้งให้บริษัทฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการได้ หากบริษัทไม่ฟ้องภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ถือหุ้นมีสิทธิยื่นฟ้องแทนบริษัท (derivative action) ต่อศาลเพื่อเรียกคืนความเสียหายหรือประโยชน์ที่กรรมการได้ไปโดยไม่ชอบ

D&O Insurance คุ้มครองค่าปรับหรือโทษอาญาของกรรมการหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่คุ้มครองหรือคุ้มครองได้จำกัดมาก โดยเฉพาะค่าปรับทางอาญาที่กฎหมายห้ามประกัน หรือกรณีที่ศาลพิพากษาว่ากรรมการกระทำโดยทุจริตหรือฝ่าฝืนกฎหมายโดยเจตนา D&O มักครอบคลุมเฉพาะค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าเสียหายทางแพ่งจากการกระทำโดยสุจริตที่ภายหลังถูกฟ้องร้องมากกว่า

กรรมการต้องรับผิดถ้าฝ่ายจัดการทำผิดโดยไม่แจ้งให้กรรมการทราบหรือไม่?

ถ้ากรรมการได้ใช้ความระมัดระวังสมควรแล้ว เช่น มีกลไกควบคุมภายใน ตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ตั้งคำถามเมื่อเห็นสัญญาณผิดปกติ และไม่มีข้อบ่งชี้ที่กรรมการละเลยหรือหลับหูหลับตา กรรมการอาจได้รับความคุ้มครองตามหลัก "business judgment rule" ตามแนวทางกฎหมายและ CG Code แต่ถ้ามีสัญญาณเตือนสำคัญที่กรรมการละเลยไม่ใส่ใจหรือไม่ดำเนินการตรวจสอบ ก็อาจต้องร่วมรับผิดได้

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความด้านธรรมาภิบาลและความรับผิดของกรรมการ?

การจ้างทนายความไม่ควรรอให้เกิดคดีแล้วค่อยหาที่ปรึกษา สำหรับคณะกรรมการและผู้บริหาร การขอคำปรึกษาตั้งแต่ระยะป้องกันสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้มาก ทั้งในเชิงกฎหมายและชื่อเสียงของบริษัท

  • เมื่อบริษัทกำลังจะเข้าสู่ การระดมทุนครั้งใหญ่ เช่น เข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) หรือออกหุ้น/ตราสารหนี้ต่อผู้ลงท

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม