- การนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางเพื่อ "จำหน่าย" ในไทย ต้องมีใบอนุญาตสถานที่ + การขึ้นทะเบียน/จดแจ้งผลิตภัณฑ์ + ใบอนุญาตนำเข้าเป็นราย shipment (LPI) ก่อนสินค้าเข้าประเทศ
- การจำแนกผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้องตั้งแต่แรก (อาหารเสริม vs ยา vs เครื่องสำอาง) กำหนดทั้งขั้นตอนเอกสาร ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และระดับความเสี่ยงทางกฎหมาย
- ฉลากและการโฆษณาเป็นจุดเสี่ยงสูง: เคลมเกินจริงหรือแฝงลักษณะ "ยา" มีโอกาสถูกเรียกเก็บตัวอย่าง ระงับโฆษณา หรือสั่งถอนสินค้า
- เมื่อถูกสุ่มตรวจหรือรับหนังสือแจ้งเตือนจาก อย. ผู้ประกอบการต้องตอบกลับอย่างเป็นระบบ มีการสอบสวนสาเหตุ แผนแก้ไข และอาจต้องเรียกคืนสินค้า
- ทนายความที่เข้าใจกฎหมาย อย. ช่วยลดความเสี่ยงอย่างมาก ทั้งในขั้นออกแบบผลิตภัณฑ์ เตรียมเอกสาร ไปจนถึงการโต้แย้งคำสั่งทางปกครองของ อย.
จุดประสงค์การค้นหา: เข้าใจ (Know) + ลงมือทำ (Do) - ผู้ค้นหาต้องการทั้งภาพรวมและขั้นตอนปฏิบัติจริงในการนำเข้าและขึ้นทะเบียน
กลุ่มเป้าหมาย: B2B - ผู้ประกอบการ เจ้าของแบรนด์ โรงงาน OEM ฝ่ายกฎหมาย/Regulatory Affairs ที่ต้องการวางขายอาหารเสริมหรือเครื่องสำอางในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย
1. ภาพรวม: อย. กับการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทย
การนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางเข้ามาจำหน่ายในไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตาม พ.ร.บ.อาหาร และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ผู้ประกอบการต้องเตรียมทั้งใบอนุญาตสถานที่ ใบรับรอง/เลข อย. ของผลิตภัณฑ์ และใบอนุญาตนำเข้าเป็นรายครั้ง ก่อนสินค้าจะผ่านด่านศุลกากรได้อย่างราบรื่น(en.fda.moph.go.th)
ในเชิงโครงสร้าง อย. แบ่งสินค้าเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น อาหาร (รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร), เครื่องสำอาง, ยา, เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งแต่ละหมวดมีขั้นตอน องค์ประกอบเอกสาร และมาตรฐานความปลอดภัยแตกต่างกัน เช่น อาหารเสริมอยู่ภายใต้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขหลายฉบับเรื่อง "อาหารเสริม" ส่วนเครื่องสำอางอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และกฎลูกที่เกี่ยวข้อง(en.fda.moph.go.th)
- เป้าหมายหลักของ อย. คือการป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือโฆษณาเกินจริง
- การนำเข้าเพื่อ "ใช้ส่วนตัว" (เช่น นักท่องเที่ยวถือเข้า) มีกฎอีกชุดหนึ่งที่ผ่อนคลายกว่าการนำเข้าเพื่อ "จำหน่าย" อย่างมีนัยสำคัญ(en.fda.moph.go.th)
- แทบทุกขั้นตอนใช้ระบบออนไลน์ของ อย. (เช่น ระบบ e-submission สำหรับอาหาร และระบบ SKYNET สำหรับเครื่องสำอาง)
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ถ้านำเข้าแค่ "ล็อตเล็ก" เพื่อทดสอบตลาด ยังต้องขึ้นทะเบียน อย. หรือไม่?
- ถ้าโรงงานต่างประเทศมีมาตรฐาน GMP อยู่แล้ว จะย่นขั้นตอนได้แค่ไหน?
- บริษัทต่างชาติที่ยังไม่มีนิติบุคคลไทย สามารถทำการจดแจ้ง/ขึ้นทะเบียนเองได้หรือไม่?
2. ประเภทผลิตภัณฑ์และการจำแนกภายใต้กฎ อย.
จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการจำแนกผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง ว่าเป็น "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" หรือ "เครื่องสำอาง" หรือเข้าใกล้ขอบเขตของ "ยา/ผลิตภัณฑ์สมุนไพร" เพราะหมวดผลิตภัณฑ์จะกำหนดทั้งเส้นทางอนุญาต ระดับหลักฐานวิชาการที่ต้องใช้ และความเสี่ยงหากโฆษณาเกินเลยจากหมวดที่ได้รับอนุญาต(siamdevelopment.com)
2.1 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารเสริม)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยจัดเป็น "อาหารควบคุมเฉพาะ" ภายใต้ พ.ร.บ.อาหาร และประกาศกระทรวงสาธารณสุขหลายฉบับ เช่น ฉบับที่ 293, 405 และ 448 ว่าด้วยอาหารเสริม ซึ่งกำหนดนิยาม ส่วนผสมที่อนุญาต ปริมาณสูงสุดของวิตามินและแร่ธาตุ และรูปแบบการโฆษณาที่ทำได้(en.fda.moph.go.th)
- มักอยู่ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง หรือเครื่องดื่มที่มีสารอาหารเสริม
- อนุญาตให้กล่าวอ้างเชิงโภชนาการและการทำหน้าที่ของสารอาหารในระดับที่ อย. กำหนด แต่ห้ามอ้างรักษา บำบัด หรือป้องกันโรค
- ถ้าส่วนผสมหรือปริมาณสารเกินจากที่ประกาศกำหนด อาจถูกจัดใหม่เป็นยา หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งมีกระบวนการอนุญาตที่เข้มข้นกว่า
2.2 เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางในไทยคือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อทำความสะอาด ปกป้อง ปรับสภาพ หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก โดยไม่มุ่งหวังผลต่อโครงสร้างหรือการทำงานของร่างกายในเชิงการแพทย์ ตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558(siamdevelopment.com)
- ส่วนใหญ่เป็น "เครื่องสำอางควบคุม" ที่ใช้วิธี "จดแจ้ง" (notification) ก่อนผลิตหรือนำเข้า
- บางรายการอาจอยู่ในกลุ่มควบคุมเพิ่มเติมหากมีส่วนผสมบางชนิด (เช่น สารกันแดด, whitening บางประเภท) ซึ่งมีเงื่อนไขเฉพาะ
- ห้ามโฆษณาในลักษณะมีฤทธิ์เป็นยา เช่น รักษาสิวถาวร รักษาฝ้าให้หายขาด เปลี่ยนสีผิวถาวร เป็นต้น
2.3 กรณี "เส้นบาง ๆ" ระหว่างอาหารเสริม ยา และเครื่องสำอาง
ในทางปฏิบัติ มีหลายผลิตภัณฑ์ที่อยู่ "กึ่งกลาง" เช่น แคปซูลสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาโรค หรือครีมที่อ้างว่ารักษาสิวอย่างชัดเจน ซึ่งอาจถูกตีความเป็นยา/ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ใช่เครื่องสำอาง หากจำแนกผิดตั้งแต่แรก จะมีความเสี่ยงถูก อย. สั่งเปลี่ยนหมวดภายหลังหรือถูกเพิกถอนเลข อย. ได้
- ควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือทนายความตรวจสอบ "สูตร + เคลม" ว่าเข้ากับหมวดไหนที่สุด
- หากเป็นส่วนผสมใหม่ (Novel ingredient) หรือมีปริมาณสารเกินมาตรฐาน อย.อาจขอข้อมูลวิชาการเพิ่มและใช้เวลาพิจารณานานกว่าปกติ(siamdevelopment.com)
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวิตามินควรขึ้นทะเบียนเป็น "อาหารเสริม" หรือ "เครื่องดื่มพร้อมดื่ม"?
- ครีมเวชสำอาง (cosmeceutical) มีหมวดเฉพาะในไทยหรือไม่ หรือยังนับเป็นเครื่องสำอางอยู่?
3. เอกสารที่ต้องใช้และขั้นตอนการขึ้นทะเบียน/จดแจ้งผลิตภัณฑ์
ทั้งอาหารเสริมและเครื่องสำอางต้องผ่านสองระดับหลัก ๆ คือ (1) ใบอนุญาตสถานที่/ผู้นำเข้า และ (2) ใบอนุญาตระดับ "ผลิตภัณฑ์" (จดทะเบียนอาหาร หรือจดแจ้งเครื่องสำอาง) ก่อนจะยื่นขอใบอนุญาตนำเข้าเป็นราย shipment (LPI) ที่ด่านศุลกากร(en.fda.moph.go.th)
3.1 ขั้นตอนสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (นำเข้า)
การนำเข้าอาหารเสริมเพื่อจำหน่ายต้องใช้ทั้งเอกสารด้านโรงงาน/สถานที่ และด้านตัวผลิตภัณฑ์ โดยกระบวนการหลักมักมีขั้นตอนดังนี้(siamdevelopment.com)
- ตั้งนิติบุคคลไทย และขอใบอนุญาตสถานที่นำเข้าอาหาร
- นิติบุคคลไทย (หรือผู้รับอนุญาตในไทย) ต้องมีที่ทำการและคลังสินค้า ที่ผ่านเกณฑ์ อย. (GMP/สุขลักษณะตามที่กำหนด)
- ยื่นขอใบอนุญาตสถานที่นำเข้าอาหารกับ อย. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตามที่ตั้งคลังสินค้า
- เตรียมแฟ้มผลิตภัณฑ์ (Product Dossier)
- สูตรเต็ม: รายการส่วนผสมทั้งหมด ปริมาณต่อหน่วยบริโภค และวัตถุประสงค์ของแต่ละสาร
- เอกสารผู้ผลิตต่างประเทศ: ใบรับรอง GMP/HACCP, Free Sale Certificate หรือ Health Certificate ตามที่ อย. กำหนด
- ผลวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ (Certificate of Analysis - COA)
- ร่างฉลากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ถ้ามีฉลากหลายภาษา)
- ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ อย.
- ใช้ระบบ e-submission ของ อย. พร้อมแนบเอกสารและข้อมูลโภชนาการ/สุขภาพตามแบบฟอร์มที่กำหนด(siamdevelopment.com)
- เจ้าหน้าที่อาจสอบถามหรือขอเอกสารเพิ่มเติม โดยเฉพาะกรณีส่วนผสมใหม่หรือปริมาณสารสูง
- ได้รับเลขสารบบอาหาร (เลข อย. อาหาร)
- เมื่อคำขอได้รับอนุมัติ จะได้เลขสารบบอาหารที่ต้องแสดงบนฉลากทุกชิ้น
- เลขนี้มีอายุ (โดยทั่วไป 3 ปี ตามรอบใบอนุญาต) และต้องต่ออายุเมื่อครบกำหนด
- ขั้นตอนนำเข้าแต่ละ shipment
- ยื่นขอ License per Invoice (LPI) ผ่านระบบของ อย. สำหรับแต่ละ shipment(en.fda.moph.go.th)
- ยื่นใบขนสินค้าต่อศุลกากรแนบ LPI, invoice, B/L หรือ Air Waybill
- ผ่านการตรวจปล่อยที่ด่านตรวจอาหารและยา อาจมีการสุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบ
ระยะเวลาและค่าใช้จ่าย: ขึ้นกับความซับซ้อนของสูตรและเอกสาร โดยทั่วไปการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจใช้เวลาหลักสัปดาห์ถึงสองสามเดือน ค่าธรรมเนียมภาครัฐมักอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมค่าที่ปรึกษา/ทนายความ)
3.2 ขั้นตอนสำหรับเครื่องสำอาง (นำเข้า)
เครื่องสำอางส่วนใหญ่ใช้ระบบ "จดแจ้ง" (notification) ซึ่งรวดเร็วกว่าการขึ้นทะเบียนอาหาร แต่ยังต้องมีการเตรียมเอกสารที่ครบถ้วน และปฏิบัติตามข้อกำหนดหลังการจดแจ้งอย่างเคร่งครัด(en.fda.moph.go.th)
- ขอใบอนุญาตสถานที่นำเข้า/เก็บเครื่องสำอาง
- นิติบุคคลไทยต้องมีคลังสินค้าที่ตรงตามข้อกำหนด อย. และขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่นำเข้า/เก็บเครื่องสำอาง
- เตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์และแฟ้มข้อมูลผลิตภัณฑ์ (Product Information File - PIF)
- ข้อมูลทั่วไป: ชื่อผลิตภัณฑ์ แบรนด์ ประเภทการใช้ รูปแบบ (ครีม เซรั่ม โลชัน ฯลฯ)
- สูตรเต็ม: รายการส่วนผสมตามชื่อ INCI และความเข้มข้น
- ข้อมูลผู้ผลิตและใบรับรอง GMP
- ข้อมูลด้านความปลอดภัย การทดสอบการระคายเคือง/เสถียรภาพ (ถ้ามี)
- ตัวอย่างฉลากและบรรจุภัณฑ์ (ภาษาไทย)
- จดแจ้งผ่านระบบออนไลน์ของ อย. (เช่น SKYNET)
- กรอกข้อมูลผลิตภัณฑ์ในระบบและแนบเอกสารที่ต้องใช้
- เมื่อครบถ้วนจะได้รับ "เลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง" (validity โดยทั่วไป 3 ปี)
- ปัจจุบันมีระบบ post-audit หรือการตรวจภายหลังการจดแจ้ง ดังนั้นข้อมูลต้องถูกต้องตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เพียง "จดไว้ก่อน" แล้วค่อยมาปรับภายหลัง(wellion.co.th)
- นำเข้าแบบมี LPI และผ่านด่าน อย.
- เช่นเดียวกับอาหาร ต้องขอ LPI สำหรับแต่ละ shipment และผ่านด่านตรวจอาหารและยา(en.fda.moph.go.th)
- กรณีวัตถุดิบเครื่องสำอาง (เช่น สาร active) อาจต้องใช้แบบฟอร์มเฉพาะตามที่ด่านตรวจอาหารและยากำหนด(en.fda.moph.go.th)
3.3 ตารางเปรียบเทียบสั้น ๆ: อาหารเสริม vs เครื่องสำอาง (นำเข้าไทย)
| ประเด็น | อาหารเสริม | เครื่องสำอาง |
|---|---|---|
| กฎหมายหลัก | พ.ร.บ.อาหาร + ประกาศอาหารเสริม | พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 |
| รูปแบบการอนุญาตผลิตภัณฑ์ | ขึ้นทะเบียนอาหาร (เลขสารบบอาหาร) | จดแจ้งเครื่องสำอาง (เลขที่จดแจ้ง) |
| เคลมบนฉลาก | โภชนาการ/การทำหน้าที่ของสารอาหารในขอบเขตที่ อย. กำหนด | ผลด้านความงาม/บำรุง ห้ามลักษณะเป็นยา |
| ความเข้มงวดด้านสูตร | ควบคุมปริมาณวิตามิน/แร่ธาตุและส่วนผสมอย่างละเอียด | ควบคุมสารต้องห้าม/จำกัดการใช้ในเชิงความปลอดภัย |
| ขั้นตอนหลังอนุญาต | LPI + ตรวจปล่อยด่าน อย. + เฝ้าระวังตลาด | LPI + ตรวจปล่อยด่าน อย. + post-audit + เฝ้าระวังตลาด |
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- สามารถใช้คลังสินค้าร่วมกันสำหรับอาหารเสริมและเครื่องสำอางได้หรือไม่?
- เลขที่จดแจ้ง/เลข อย. สามารถโอนให้ผู้นำเข้ารายอื่นใช้ได้หรือไม่?
4. ข้อกำหนดฉลาก การโฆษณา และข้อห้ามในการตลาด
แม้จะมีเลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งแล้ว แต่ฉลากและการโฆษณายังเป็นจุดที่ อย. ใช้ตรวจเข้มที่สุด เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปกป้องผู้บริโภคจากการหลงเชื่อเกินจริง โดยอาหารเสริมและเครื่องสำอางมีหลักการร่วมกันคือ "ต้องไม่ทำให้เข้าใจผิดหรือหลงเชื่อเกินจริง และต้องไม่อ้างสรรพคุณเป็นยา"(siamdevelopment.com)
4.1 ข้อกำหนดฉลากอาหารเสริม (หัวใจสำคัญ)
- ชื่อผลิตภัณฑ์และประเภทอาหารที่ชัดเจน เช่น "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ต้องปรากฏบนฉลาก
- เลขสารบบอาหาร, ชื่อและที่อยู่นำเข้า/ผู้ผลิต, ประเทศผู้ผลิต
- ส่วนผสมทั้งหมดเรียงลำดับตามปริมาณ, ปริมาณสุทธิ, วันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ
- วิธีใช้ คำเตือน และข้อมูลโภชนาการ (ถ้ากฎหมายกำหนดให้ต้องแสดง)
- ตัวอักษรภาษาไทยขนาดตามขั้นต่ำที่ประกาศกำหนด อ่านได้ชัดเจน ไม่ถูกบดบัง
4.2 ข้อกำหนดฉลากเครื่องสำอาง
- ชื่อผลิตภัณฑ์และประเภทเครื่องสำอาง (เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า โลชันทาผิวกาย)
- ส่วนผสมทั้งหมด, ปริมาณสุทธิ, เลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต/ผู้นำเข้าในประเทศไทย, ประเทศผู้ผลิต
- วิธีใช้และคำเตือนที่จำเป็น (เช่น หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตา, หยุดใช้หากมีอาการระคายเคือง)
4.3 ข้อห้ามสำคัญในการโฆษณาและการตลาด
- ห้ามอ้างว่าสามารถ "รักษา บำบัด บรรเทา หรือป้องกันโรค" ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรงหรือโรคทั่วไป
- ห้ามใช้ข้อความเกินจริง เช่น "รักษาหายขาด 100%", "ไม่มีผลข้างเคียงแน่นอน", "ปลอดภัย 100%"
- ห้ามใช้ชื่อหรือโลโก้ในลักษณะทำให้เข้าใจว่าได้รับการรับรองประสิทธิภาพการรักษาจาก อย. (เลข อย. ยืนยันแค่ผ่านมาตรฐานที่กำหนด ไม่ใช่การรับรองว่ารักษาได้)
- ห้ามใช้ภาพ "ก่อน-หลัง" หรือรีวิวชวนเชื่อเกินจริง โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มออนไลน์
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- สามารถใช้คำว่า "ช่วยลดอาการ...." หรือ "บรรเทา..." ได้หรือไม่ในอาหารเสริม?
- การจ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว ถ้าพูดสรรพคุณเกินจริง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักตามกฎหมาย?
5. แนวทางเมื่อมีการเรียกเก็บตัวอย่างหรือถูกแจ้งเตือนสินค้าไม่ปลอดภัย
สินค้าอาจถูกสุ่มตรวจทั้งที่ด่านนำเข้าและในตลาดภายในประเทศ หากพบปัญหา เช่น ส่วนผสมไม่ตรงตามที่แจ้ง ฉลากไม่ถูกต้อง หรือพบสารต้องห้าม อย. สามารถออกหนังสือแจ้งเตือน สั่งระงับการจำหน่าย หรือสั่งให้เรียกคืนสินค้าได้ ผู้ประกอบการจึงควรมีแผนรับมืออย่างเป็นระบบ(en.fda.moph.go.th)
5.1 เมื่อถูกสุ่มเก็บตัวอย่างที่ด่าน อย. หรือศุลกากร
- เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน: LPI, ใบขนสินค้า, เอกสารสูตร, COA, เอกสาร GMP และฉลาก
- ตอบข้อซักถามของเจ้าหน้าที่อย่างโปร่งใสและเป็นลายลักษณ์อักษร
- หากต้องรอผลตรวจวิเคราะห์ ควรแจ้งคู่ค้า/ลูกค้าถึงความล่าช้าอย่างเหมาะสม และติดตามสถานะเป็นระยะ
5.2 เมื่อได้รับหนังสือแจ้งเตือนหรือคำสั่งทางปกครองจาก อย.
- อ่านเงื่อนไขและเหตุผลอย่างละเอียด
- อย. จะระบุเหตุผล เช่น "ใช้ข้อความโฆษณาเกินจริง" หรือ "พบสารต้องห้าม"
- มีระยะเวลาในการชี้แจงหรืออุทธรณ์ ต้องจัดการภายในกำหนด
- สอบสวนภายใน (Internal Investigation)
- ตรวจสอบล็อตผลิตจริง เอกสารผลิต สูตร และฉลากเปรียบเทียบกับที่ยื่นต่อ อย.
- ตรวจสอบกระบวนการ QC, ระบบติดตามล็อต (traceability) และการควบคุมคู่ค้า/โรงงาน OEM
- เตรียมคำชี้แจงและแผนแก้ไข (CAPA)
- อธิบายข้อเท็จจริงและแนบหลักฐาน เช่น ผลวิเคราะห์จากห้องแล็บที่น่าเชื่อถือ
- เสนอแผนป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เช่น ปรับสูตร ปรับข้อความโฆษณา อบรมทีมการตลาด เพิ่มขั้นตอนตรวจสอบเอกสาร
- กรณีต้องเรียกคืนสินค้า (Recall)
- จัดทำแผนเรียกคืนตามระดับความเสี่ยง (แจ้งผู้แทนจำหน่าย ร้านค้า ลูกค้า ฯลฯ)
- เก็บบันทึกรายละเอียดจำนวนสินค้าที่เรียกคืนได้/ไม่สามารถเรียกคืนได้ เพื่อรายงาน อย.
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งให้เรียกคืนสินค้า สามารถอุทธรณ์ได้อย่างไร?
- ต้องเปิดเผยการเรียกคืนต่อสาธารณะในช่องทางใดบ้าง (เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ฯลฯ)?
6. บทบาททนายความในการเตรียมเอกสารและแก้ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย
สำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าตลาดไทยอย่างจริงจัง ทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย อย. สามารถลด "ต้นทุนความผิดพลาด" ได้มาก ทั้งในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เอกสาร ไปจนถึงการจัดการข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐและคู่ค้า
- การจำแนกผลิตภัณฑ์และออกแบบกลยุทธ์กฎหมายตั้งแต่ต้น
- ช่วยวิเคราะห์ว่าควรยื่นเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือหมวดอื่น รวมถึงประเมินผลกระทบด้านเวลาและต้นทุน
- ช่วยวางกรอบข้อความโฆษณาที่ปลอดภัยแต่ยังตอบโจทย์การตลาด
- การจัดทำและตรวจสอบเอกสารยื่น อย.
- ตรวจรูปแบบสัญญากับผู้ผลิต OEM/ผู้ถือใบอนุญาตในไทย (license holder) ให้ครอบคลุมความรับผิดและข้อมูลกรรมสิทธิ์
- ช่วยจัดโครงสร้างการถือใบอนุญาตให้สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจ (เช่น ให้ตัวแทนเป็นผู้ถือใบอนุญาตแทน หรือตั้งบริษัทลูกในไทย)
- การจัดการข้อพิพาทและการอุทธรณ์คำสั่ง อย.
- ร่างหนังสือชี้แจง/อุทธรณ์อย่างเป็นระบบ อ้างอิงข้อกฎหมายและหลักฐานวิชาการ
- ให้คำแนะนำเมื่อต้องรับผิดทางแพ่ง/อาญา หรือมีการดำเนินคดีจากการทำผิดกฎหมายอาหารและยา
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ควรดึงทนายความเข้ามาตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบสูตรเลยหรือรอให้มีปัญหากับ อย. ก่อน?
- บทบาททนายความต่างจากที่ปรึกษา Regulatory อย่างไร และควรมีทั้งสองฝ่ายหรือไม่?
7. Checklist แบบย่อสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าอาหารเสริม/เครื่องสำอางในไทย
หากคุณกำลังวางแผนเข้าตลาดไทย ลองใช้ checklist นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการพูดคุยกับทีมภายใน/ที่ปรึกษา/ทนายความ
- จำแนกผลิตภัณฑ์ชัดเจน: อาหารเสริม? เครื่องสำอาง? หรือหมวดอื่น?
- มีนิติบุคคลไทยหรือพาร์ทเนอร์ที่น่าเชื่อถือซึ่งพร้อมถือใบอนุญาตหรือยัง?
- สถานที่เก็บสินค้าและระบบโลจิสติกส์พร้อมตามเกณฑ์ อย. หรือไม่?
- แฟ้มเอกสารผลิตภัณฑ์ (สูตร, เอกสารผู้ผลิต, COA, ฉลาก) ครบถ้วนหรือยัง?
- ข้อความบนฉลากและสื่อโฆษณาทั้งหมดผ่านการตรวจโดยฝ่ายกฎหมาย/Regulatory แล้วหรือไม่?
- มี SOP สำหรับการรับมือกรณีสุ่มตรวจ เรียกเก็บตัวอย่าง หรือเรียกคืนสินค้าแล้วหรือยัง?
8. ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอาง
หลายธุรกิจโดยเฉพาะรายใหม่มักเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางประการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางกฎหมายและการเงินที่ไม่คาดคิด
- ความเข้าใจผิดที่ 1: "นำเข้าแค่ล็อตเล็ก ๆ หรือแค่ตัวอย่าง ไม่ต้องขึ้นทะเบียน"
ในทางกฎหมาย การนำเข้าเพื่อ "จำหน่ายหรือส่งเสริมการขาย" มักถือว่าต้องผ่านการอนุญาตเช่นเดียวกับสินค้าที่ขายจริง แม้จะเป็นล็อตเล็กหรือใช้แจกตัวอย่าง หากไม่มีเอกสาร อย. ครบ สามารถถูกยึดและปรับได้
- ความเข้าใจผิดที่ 2: "มีเลข อย. จากโรงงาน OEM แล้ว นำมาขายภายใต้แบรนด์เราได้เลย"
เลข อย. ผูกกับสูตร ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า และฉลากที่แจ้งไว้ต่อ อย. หากเปลี่ยนแบรนด์ ผู้นำเข้า หรือดัดแปลงสูตร โดยไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงหรือไม่ขึ้นทะเบียนใหม่ เลขเดิมอาจใช้ไม่ได้และมีความเสี่ยงถูกเพิกถอน
- ความเข้าใจผิดที่ 3: "ขายแค่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ต้องสนใจกฎหมาย อย. เท่าหน้าร้าน"
การขายออนไลน์ก็อยู่ภายใต้กฎหมาย อย. เช่นเดียวกับการขายหน้าร้าน และยังมีร่องรอยดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ง่าย จึงถูกจับตาเรื่องโฆษณาเกินจริงหรือใช้ภาพ/ข้อความต้องห้ามมากกว่าด้วยซ้ำ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
นำเข้าอาหารเสริมจำนวนเล็กน้อยเพื่อขายในเพจส่วนตัว ต้องขึ้นทะเบียน อย. หรือไม่?
ถ้าเป็นการนำเข้าเพื่อ "จำหน่าย" ไม่ว่าจะเป็นจำนวนมากหรือน้อย ตามกฎหมายยังต้องมีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องและเลข อย. ครบถ้วน การไม่มีเอกสารครบอาจถูกยึดสินค้าและมีโทษปรับหรือโทษอาญาได้ แม้จะเป็นการขายผ่านเพจส่วนตัวก็ตาม
การจดแจ้งเครื่องสำอางใช้เวลานานเท่าไร?
ระบบจดแจ้งเครื่องสำอางออกแบบให้อนุมัติได้ค่อนข้างเร็ว (หลักวันทำการ หากเอกสารถูกต้องครบถ้วน) แต่ในทางปฏิบัติมักมีการ post-audit หรือตรวจสอบภายหลัง ซึ่งหากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือมีข้อสงสัย อาจถูกเรียกเอกสารเพิ่มหรือระงับการจำหน่ายได้(siamdevelopment.com)
ต่างชาติที่ยังไม่มีบริษัทในไทย สามารถขึ้นทะเบียน อย. เองได้หรือไม่?
โดยทั่วไป ต้องมี "นิติบุคคลไทย" หรือผู้แทนในไทยที่ได้รับอนุญาตเป็นผู้นำเข้า/ผู้รับใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ คุณจึงต้องเลือกว่าจะตั้งบริษัทลูกในไทยเอง หรือใช้บริษัทพาร์ทเนอร์/ตัวแทนที่พร้อมถือใบอนุญาตแทน(en.reach24h.com)
ถ้าสินค้าติดด่าน อย. เพราะสงสัยฉลากหรือสูตร ควรทำอย่างไร?
ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ด่าน อย. ทันที เตรียมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง (LPI, ใบขนสินค้า, แฟ้มผลิตภัณฑ์, COA, ฉลาก) และถ้าประเด็นซับซ้อน ควรให้ทนายความหรือที่ปรึกษา Regulatory ช่วยจัดทำหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการ เพื่อลดโอกาสถูกสั่งทำลายหรือส่งคืนสินค้า
เลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า "สินค้าปลอดภัยแน่นอน" ได้หรือไม่?
เลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งหมายถึงสินค้าผ่านการประเมินเบื้องต้นว่าฉลากและสูตรเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ณ วันที่อนุญาต แต่ไม่ใช่การรับรองว่าไม่มีความเสี่ยงหรือไม่มีโอกาสเจอปัญหาในอนาคต อย. ยังสามารถสุ่มตรวจและเพิกถอนอนุญาตได้หากพบข้อบกพร่องภายหลัง(cosmetic.fda.moph.go.th)
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความ
คุณควรพิจารณาดึงทนายความที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมาย อย. เข้ามามีส่วนร่วมโดยเฉพาะเมื่อ:
- ผลิตภัณฑ์มีสูตรซับซ้อน มีส่วนผสมใหม่ หรือปริมาณสารเข้าใกล้เพดานที่กฎหมายกำหนด
- เคลมการตลาดมีโอกาสถูกตีความเข้าใกล้ "ยา" หรือการรักษาโรค
- ต้องจัดโครงสร้างความสัมพันธ์กับผู้ถือใบอนุญาตในไทย (license holder) หรือบริษัทคู่สัญญาหลายฝ่าย
- เคยได้รับหนังสือเตือน/คำสั่งจาก อย. แล้ว และต้องเตรียมการอุทธรณ์หรือเจรจาแก้ไข
- วางแผนลงทุนหรือทำดีลทางธุรกิจขนาดใหญ่ (เช่น ขายกิจการ/ร่วมทุน) ที่มูลค่าขึ้นกับใบอนุญาต อย. เป็นสำคัญ
ขั้นตอนต่อไปสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าตลาดไทย
หากคุณกำลังจะเริ่มหรือกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทย ขั้นตอนต่อไปที่แนะนำคือ:
- รวบรวมข้อมูลผลิตภัณฑ์ทั้งหมด (สูตร เคลม บรรจุภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย) แล้วขอให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมิน "หมวดผลิตภัณฑ์" ที่เหมาะสมที่สุด
- ตัดสินใจเรื่องโครงสร้างในไทย: ตั้งบริษัทเอง, ใช้ตัวแทนถือใบอนุญาต, หรือใช้รูปแบบผสม
- ออกแบบฉลากและแผนการตลาดตั้งแต่ต้นโดยให้ฝ่ายกฎหมาย/Regulatory ตรวจร่วม เพื่อเลี่ยงการแก้ทีหลัง
- จัดทำ SOP ภายในเกี่ยวกับการนำเข้า การเก็บเอกสาร และการสื่อสารกรณีมีการสุ่มตรวจ/เรียกคืน
- หากมูลค่าโครงการหรือความเสี่ยงสูง ควรปรึกษาทนายความด้านกฎหมาย อย. เพื่อช่วยกำหนดกลยุทธ์กฎหมายและสัญญาที่ครอบคลุม
แหล่งข้อมูลทางราชการที่ควรบุ๊คมาร์กไว้เพื่อใช้อ้างอิง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, หน้ารวมบริการนำเข้าและด่านตรวจ อย. และ ระบบข้อมูลเครื่องสำอาง อย. ซึ่งอัปเดตประกาศ ระเบียบ และแบบฟอร์มล่าสุดอย่างต่อเนื่อง(en.fda.moph.go.th)