นำเข้าอาหารเสริม-เครื่องสำอาง Thailand ต้องขอ อย. ยังไง

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025
  • การนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางเพื่อ "จำหน่าย" ในไทย ต้องมีใบอนุญาตสถานที่ + การขึ้นทะเบียน/จดแจ้งผลิตภัณฑ์ + ใบอนุญาตนำเข้าเป็นราย shipment (LPI) ก่อนสินค้าเข้าประเทศ
  • การจำแนกผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้องตั้งแต่แรก (อาหารเสริม vs ยา vs เครื่องสำอาง) กำหนดทั้งขั้นตอนเอกสาร ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และระดับความเสี่ยงทางกฎหมาย
  • ฉลากและการโฆษณาเป็นจุดเสี่ยงสูง: เคลมเกินจริงหรือแฝงลักษณะ "ยา" มีโอกาสถูกเรียกเก็บตัวอย่าง ระงับโฆษณา หรือสั่งถอนสินค้า
  • เมื่อถูกสุ่มตรวจหรือรับหนังสือแจ้งเตือนจาก อย. ผู้ประกอบการต้องตอบกลับอย่างเป็นระบบ มีการสอบสวนสาเหตุ แผนแก้ไข และอาจต้องเรียกคืนสินค้า
  • ทนายความที่เข้าใจกฎหมาย อย. ช่วยลดความเสี่ยงอย่างมาก ทั้งในขั้นออกแบบผลิตภัณฑ์ เตรียมเอกสาร ไปจนถึงการโต้แย้งคำสั่งทางปกครองของ อย.

จุดประสงค์การค้นหา: เข้าใจ (Know) + ลงมือทำ (Do) - ผู้ค้นหาต้องการทั้งภาพรวมและขั้นตอนปฏิบัติจริงในการนำเข้าและขึ้นทะเบียน

กลุ่มเป้าหมาย: B2B - ผู้ประกอบการ เจ้าของแบรนด์ โรงงาน OEM ฝ่ายกฎหมาย/Regulatory Affairs ที่ต้องการวางขายอาหารเสริมหรือเครื่องสำอางในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย

1. ภาพรวม: อย. กับการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทย

การนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางเข้ามาจำหน่ายในไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตาม พ.ร.บ.อาหาร และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ผู้ประกอบการต้องเตรียมทั้งใบอนุญาตสถานที่ ใบรับรอง/เลข อย. ของผลิตภัณฑ์ และใบอนุญาตนำเข้าเป็นรายครั้ง ก่อนสินค้าจะผ่านด่านศุลกากรได้อย่างราบรื่น(en.fda.moph.go.th)

ในเชิงโครงสร้าง อย. แบ่งสินค้าเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น อาหาร (รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร), เครื่องสำอาง, ยา, เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งแต่ละหมวดมีขั้นตอน องค์ประกอบเอกสาร และมาตรฐานความปลอดภัยแตกต่างกัน เช่น อาหารเสริมอยู่ภายใต้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขหลายฉบับเรื่อง "อาหารเสริม" ส่วนเครื่องสำอางอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และกฎลูกที่เกี่ยวข้อง(en.fda.moph.go.th)

  • เป้าหมายหลักของ อย. คือการป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือโฆษณาเกินจริง
  • การนำเข้าเพื่อ "ใช้ส่วนตัว" (เช่น นักท่องเที่ยวถือเข้า) มีกฎอีกชุดหนึ่งที่ผ่อนคลายกว่าการนำเข้าเพื่อ "จำหน่าย" อย่างมีนัยสำคัญ(en.fda.moph.go.th)
  • แทบทุกขั้นตอนใช้ระบบออนไลน์ของ อย. (เช่น ระบบ e-submission สำหรับอาหาร และระบบ SKYNET สำหรับเครื่องสำอาง)

คำถามติดตามที่พบบ่อย

  • ถ้านำเข้าแค่ "ล็อตเล็ก" เพื่อทดสอบตลาด ยังต้องขึ้นทะเบียน อย. หรือไม่?
  • ถ้าโรงงานต่างประเทศมีมาตรฐาน GMP อยู่แล้ว จะย่นขั้นตอนได้แค่ไหน?
  • บริษัทต่างชาติที่ยังไม่มีนิติบุคคลไทย สามารถทำการจดแจ้ง/ขึ้นทะเบียนเองได้หรือไม่?

2. ประเภทผลิตภัณฑ์และการจำแนกภายใต้กฎ อย.

จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการจำแนกผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง ว่าเป็น "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" หรือ "เครื่องสำอาง" หรือเข้าใกล้ขอบเขตของ "ยา/ผลิตภัณฑ์สมุนไพร" เพราะหมวดผลิตภัณฑ์จะกำหนดทั้งเส้นทางอนุญาต ระดับหลักฐานวิชาการที่ต้องใช้ และความเสี่ยงหากโฆษณาเกินเลยจากหมวดที่ได้รับอนุญาต(siamdevelopment.com)

2.1 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารเสริม)

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยจัดเป็น "อาหารควบคุมเฉพาะ" ภายใต้ พ.ร.บ.อาหาร และประกาศกระทรวงสาธารณสุขหลายฉบับ เช่น ฉบับที่ 293, 405 และ 448 ว่าด้วยอาหารเสริม ซึ่งกำหนดนิยาม ส่วนผสมที่อนุญาต ปริมาณสูงสุดของวิตามินและแร่ธาตุ และรูปแบบการโฆษณาที่ทำได้(en.fda.moph.go.th)

  • มักอยู่ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง หรือเครื่องดื่มที่มีสารอาหารเสริม
  • อนุญาตให้กล่าวอ้างเชิงโภชนาการและการทำหน้าที่ของสารอาหารในระดับที่ อย. กำหนด แต่ห้ามอ้างรักษา บำบัด หรือป้องกันโรค
  • ถ้าส่วนผสมหรือปริมาณสารเกินจากที่ประกาศกำหนด อาจถูกจัดใหม่เป็นยา หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งมีกระบวนการอนุญาตที่เข้มข้นกว่า

2.2 เครื่องสำอาง

เครื่องสำอางในไทยคือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อทำความสะอาด ปกป้อง ปรับสภาพ หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก โดยไม่มุ่งหวังผลต่อโครงสร้างหรือการทำงานของร่างกายในเชิงการแพทย์ ตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558(siamdevelopment.com)

  • ส่วนใหญ่เป็น "เครื่องสำอางควบคุม" ที่ใช้วิธี "จดแจ้ง" (notification) ก่อนผลิตหรือนำเข้า
  • บางรายการอาจอยู่ในกลุ่มควบคุมเพิ่มเติมหากมีส่วนผสมบางชนิด (เช่น สารกันแดด, whitening บางประเภท) ซึ่งมีเงื่อนไขเฉพาะ
  • ห้ามโฆษณาในลักษณะมีฤทธิ์เป็นยา เช่น รักษาสิวถาวร รักษาฝ้าให้หายขาด เปลี่ยนสีผิวถาวร เป็นต้น

2.3 กรณี "เส้นบาง ๆ" ระหว่างอาหารเสริม ยา และเครื่องสำอาง

ในทางปฏิบัติ มีหลายผลิตภัณฑ์ที่อยู่ "กึ่งกลาง" เช่น แคปซูลสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาโรค หรือครีมที่อ้างว่ารักษาสิวอย่างชัดเจน ซึ่งอาจถูกตีความเป็นยา/ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ใช่เครื่องสำอาง หากจำแนกผิดตั้งแต่แรก จะมีความเสี่ยงถูก อย. สั่งเปลี่ยนหมวดภายหลังหรือถูกเพิกถอนเลข อย. ได้

  • ควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือทนายความตรวจสอบ "สูตร + เคลม" ว่าเข้ากับหมวดไหนที่สุด
  • หากเป็นส่วนผสมใหม่ (Novel ingredient) หรือมีปริมาณสารเกินมาตรฐาน อย.อาจขอข้อมูลวิชาการเพิ่มและใช้เวลาพิจารณานานกว่าปกติ(siamdevelopment.com)

คำถามติดตามที่พบบ่อย

  • ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวิตามินควรขึ้นทะเบียนเป็น "อาหารเสริม" หรือ "เครื่องดื่มพร้อมดื่ม"?
  • ครีมเวชสำอาง (cosmeceutical) มีหมวดเฉพาะในไทยหรือไม่ หรือยังนับเป็นเครื่องสำอางอยู่?

3. เอกสารที่ต้องใช้และขั้นตอนการขึ้นทะเบียน/จดแจ้งผลิตภัณฑ์

ทั้งอาหารเสริมและเครื่องสำอางต้องผ่านสองระดับหลัก ๆ คือ (1) ใบอนุญาตสถานที่/ผู้นำเข้า และ (2) ใบอนุญาตระดับ "ผลิตภัณฑ์" (จดทะเบียนอาหาร หรือจดแจ้งเครื่องสำอาง) ก่อนจะยื่นขอใบอนุญาตนำเข้าเป็นราย shipment (LPI) ที่ด่านศุลกากร(en.fda.moph.go.th)

3.1 ขั้นตอนสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (นำเข้า)

การนำเข้าอาหารเสริมเพื่อจำหน่ายต้องใช้ทั้งเอกสารด้านโรงงาน/สถานที่ และด้านตัวผลิตภัณฑ์ โดยกระบวนการหลักมักมีขั้นตอนดังนี้(siamdevelopment.com)

  1. ตั้งนิติบุคคลไทย และขอใบอนุญาตสถานที่นำเข้าอาหาร
    • นิติบุคคลไทย (หรือผู้รับอนุญาตในไทย) ต้องมีที่ทำการและคลังสินค้า ที่ผ่านเกณฑ์ อย. (GMP/สุขลักษณะตามที่กำหนด)
    • ยื่นขอใบอนุญาตสถานที่นำเข้าอาหารกับ อย. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตามที่ตั้งคลังสินค้า
  2. เตรียมแฟ้มผลิตภัณฑ์ (Product Dossier)
    • สูตรเต็ม: รายการส่วนผสมทั้งหมด ปริมาณต่อหน่วยบริโภค และวัตถุประสงค์ของแต่ละสาร
    • เอกสารผู้ผลิตต่างประเทศ: ใบรับรอง GMP/HACCP, Free Sale Certificate หรือ Health Certificate ตามที่ อย. กำหนด
    • ผลวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ (Certificate of Analysis - COA)
    • ร่างฉลากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ถ้ามีฉลากหลายภาษา)
  3. ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ อย.
    • ใช้ระบบ e-submission ของ อย. พร้อมแนบเอกสารและข้อมูลโภชนาการ/สุขภาพตามแบบฟอร์มที่กำหนด(siamdevelopment.com)
    • เจ้าหน้าที่อาจสอบถามหรือขอเอกสารเพิ่มเติม โดยเฉพาะกรณีส่วนผสมใหม่หรือปริมาณสารสูง
  4. ได้รับเลขสารบบอาหาร (เลข อย. อาหาร)
    • เมื่อคำขอได้รับอนุมัติ จะได้เลขสารบบอาหารที่ต้องแสดงบนฉลากทุกชิ้น
    • เลขนี้มีอายุ (โดยทั่วไป 3 ปี ตามรอบใบอนุญาต) และต้องต่ออายุเมื่อครบกำหนด
  5. ขั้นตอนนำเข้าแต่ละ shipment
    • ยื่นขอ License per Invoice (LPI) ผ่านระบบของ อย. สำหรับแต่ละ shipment(en.fda.moph.go.th)
    • ยื่นใบขนสินค้าต่อศุลกากรแนบ LPI, invoice, B/L หรือ Air Waybill
    • ผ่านการตรวจปล่อยที่ด่านตรวจอาหารและยา อาจมีการสุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบ

ระยะเวลาและค่าใช้จ่าย: ขึ้นกับความซับซ้อนของสูตรและเอกสาร โดยทั่วไปการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจใช้เวลาหลักสัปดาห์ถึงสองสามเดือน ค่าธรรมเนียมภาครัฐมักอยู่ที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมค่าที่ปรึกษา/ทนายความ)

3.2 ขั้นตอนสำหรับเครื่องสำอาง (นำเข้า)

เครื่องสำอางส่วนใหญ่ใช้ระบบ "จดแจ้ง" (notification) ซึ่งรวดเร็วกว่าการขึ้นทะเบียนอาหาร แต่ยังต้องมีการเตรียมเอกสารที่ครบถ้วน และปฏิบัติตามข้อกำหนดหลังการจดแจ้งอย่างเคร่งครัด(en.fda.moph.go.th)

  1. ขอใบอนุญาตสถานที่นำเข้า/เก็บเครื่องสำอาง
    • นิติบุคคลไทยต้องมีคลังสินค้าที่ตรงตามข้อกำหนด อย. และขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่นำเข้า/เก็บเครื่องสำอาง
  2. เตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์และแฟ้มข้อมูลผลิตภัณฑ์ (Product Information File - PIF)
    • ข้อมูลทั่วไป: ชื่อผลิตภัณฑ์ แบรนด์ ประเภทการใช้ รูปแบบ (ครีม เซรั่ม โลชัน ฯลฯ)
    • สูตรเต็ม: รายการส่วนผสมตามชื่อ INCI และความเข้มข้น
    • ข้อมูลผู้ผลิตและใบรับรอง GMP
    • ข้อมูลด้านความปลอดภัย การทดสอบการระคายเคือง/เสถียรภาพ (ถ้ามี)
    • ตัวอย่างฉลากและบรรจุภัณฑ์ (ภาษาไทย)
  3. จดแจ้งผ่านระบบออนไลน์ของ อย. (เช่น SKYNET)
    • กรอกข้อมูลผลิตภัณฑ์ในระบบและแนบเอกสารที่ต้องใช้
    • เมื่อครบถ้วนจะได้รับ "เลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง" (validity โดยทั่วไป 3 ปี)
    • ปัจจุบันมีระบบ post-audit หรือการตรวจภายหลังการจดแจ้ง ดังนั้นข้อมูลต้องถูกต้องตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เพียง "จดไว้ก่อน" แล้วค่อยมาปรับภายหลัง(wellion.co.th)
  4. นำเข้าแบบมี LPI และผ่านด่าน อย.
    • เช่นเดียวกับอาหาร ต้องขอ LPI สำหรับแต่ละ shipment และผ่านด่านตรวจอาหารและยา(en.fda.moph.go.th)
    • กรณีวัตถุดิบเครื่องสำอาง (เช่น สาร active) อาจต้องใช้แบบฟอร์มเฉพาะตามที่ด่านตรวจอาหารและยากำหนด(en.fda.moph.go.th)

3.3 ตารางเปรียบเทียบสั้น ๆ: อาหารเสริม vs เครื่องสำอาง (นำเข้าไทย)

ประเด็น อาหารเสริม เครื่องสำอาง
กฎหมายหลัก พ.ร.บ.อาหาร + ประกาศอาหารเสริม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
รูปแบบการอนุญาตผลิตภัณฑ์ ขึ้นทะเบียนอาหาร (เลขสารบบอาหาร) จดแจ้งเครื่องสำอาง (เลขที่จดแจ้ง)
เคลมบนฉลาก โภชนาการ/การทำหน้าที่ของสารอาหารในขอบเขตที่ อย. กำหนด ผลด้านความงาม/บำรุง ห้ามลักษณะเป็นยา
ความเข้มงวดด้านสูตร ควบคุมปริมาณวิตามิน/แร่ธาตุและส่วนผสมอย่างละเอียด ควบคุมสารต้องห้าม/จำกัดการใช้ในเชิงความปลอดภัย
ขั้นตอนหลังอนุญาต LPI + ตรวจปล่อยด่าน อย. + เฝ้าระวังตลาด LPI + ตรวจปล่อยด่าน อย. + post-audit + เฝ้าระวังตลาด

คำถามติดตามที่พบบ่อย

  • สามารถใช้คลังสินค้าร่วมกันสำหรับอาหารเสริมและเครื่องสำอางได้หรือไม่?
  • เลขที่จดแจ้ง/เลข อย. สามารถโอนให้ผู้นำเข้ารายอื่นใช้ได้หรือไม่?

4. ข้อกำหนดฉลาก การโฆษณา และข้อห้ามในการตลาด

แม้จะมีเลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งแล้ว แต่ฉลากและการโฆษณายังเป็นจุดที่ อย. ใช้ตรวจเข้มที่สุด เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปกป้องผู้บริโภคจากการหลงเชื่อเกินจริง โดยอาหารเสริมและเครื่องสำอางมีหลักการร่วมกันคือ "ต้องไม่ทำให้เข้าใจผิดหรือหลงเชื่อเกินจริง และต้องไม่อ้างสรรพคุณเป็นยา"(siamdevelopment.com)

4.1 ข้อกำหนดฉลากอาหารเสริม (หัวใจสำคัญ)

  • ชื่อผลิตภัณฑ์และประเภทอาหารที่ชัดเจน เช่น "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ต้องปรากฏบนฉลาก
  • เลขสารบบอาหาร, ชื่อและที่อยู่นำเข้า/ผู้ผลิต, ประเทศผู้ผลิต
  • ส่วนผสมทั้งหมดเรียงลำดับตามปริมาณ, ปริมาณสุทธิ, วันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ
  • วิธีใช้ คำเตือน และข้อมูลโภชนาการ (ถ้ากฎหมายกำหนดให้ต้องแสดง)
  • ตัวอักษรภาษาไทยขนาดตามขั้นต่ำที่ประกาศกำหนด อ่านได้ชัดเจน ไม่ถูกบดบัง

4.2 ข้อกำหนดฉลากเครื่องสำอาง

  • ชื่อผลิตภัณฑ์และประเภทเครื่องสำอาง (เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า โลชันทาผิวกาย)
  • ส่วนผสมทั้งหมด, ปริมาณสุทธิ, เลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง
  • ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต/ผู้นำเข้าในประเทศไทย, ประเทศผู้ผลิต
  • วิธีใช้และคำเตือนที่จำเป็น (เช่น หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตา, หยุดใช้หากมีอาการระคายเคือง)

4.3 ข้อห้ามสำคัญในการโฆษณาและการตลาด

  • ห้ามอ้างว่าสามารถ "รักษา บำบัด บรรเทา หรือป้องกันโรค" ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรงหรือโรคทั่วไป
  • ห้ามใช้ข้อความเกินจริง เช่น "รักษาหายขาด 100%", "ไม่มีผลข้างเคียงแน่นอน", "ปลอดภัย 100%"
  • ห้ามใช้ชื่อหรือโลโก้ในลักษณะทำให้เข้าใจว่าได้รับการรับรองประสิทธิภาพการรักษาจาก อย. (เลข อย. ยืนยันแค่ผ่านมาตรฐานที่กำหนด ไม่ใช่การรับรองว่ารักษาได้)
  • ห้ามใช้ภาพ "ก่อน-หลัง" หรือรีวิวชวนเชื่อเกินจริง โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มออนไลน์

คำถามติดตามที่พบบ่อย

  • สามารถใช้คำว่า "ช่วยลดอาการ...." หรือ "บรรเทา..." ได้หรือไม่ในอาหารเสริม?
  • การจ้างอินฟลูเอนเซอร์รีวิว ถ้าพูดสรรพคุณเกินจริง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักตามกฎหมาย?

5. แนวทางเมื่อมีการเรียกเก็บตัวอย่างหรือถูกแจ้งเตือนสินค้าไม่ปลอดภัย

สินค้าอาจถูกสุ่มตรวจทั้งที่ด่านนำเข้าและในตลาดภายในประเทศ หากพบปัญหา เช่น ส่วนผสมไม่ตรงตามที่แจ้ง ฉลากไม่ถูกต้อง หรือพบสารต้องห้าม อย. สามารถออกหนังสือแจ้งเตือน สั่งระงับการจำหน่าย หรือสั่งให้เรียกคืนสินค้าได้ ผู้ประกอบการจึงควรมีแผนรับมืออย่างเป็นระบบ(en.fda.moph.go.th)

5.1 เมื่อถูกสุ่มเก็บตัวอย่างที่ด่าน อย. หรือศุลกากร

  • เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน: LPI, ใบขนสินค้า, เอกสารสูตร, COA, เอกสาร GMP และฉลาก
  • ตอบข้อซักถามของเจ้าหน้าที่อย่างโปร่งใสและเป็นลายลักษณ์อักษร
  • หากต้องรอผลตรวจวิเคราะห์ ควรแจ้งคู่ค้า/ลูกค้าถึงความล่าช้าอย่างเหมาะสม และติดตามสถานะเป็นระยะ

5.2 เมื่อได้รับหนังสือแจ้งเตือนหรือคำสั่งทางปกครองจาก อย.

  1. อ่านเงื่อนไขและเหตุผลอย่างละเอียด
    • อย. จะระบุเหตุผล เช่น "ใช้ข้อความโฆษณาเกินจริง" หรือ "พบสารต้องห้าม"
    • มีระยะเวลาในการชี้แจงหรืออุทธรณ์ ต้องจัดการภายในกำหนด
  2. สอบสวนภายใน (Internal Investigation)
    • ตรวจสอบล็อตผลิตจริง เอกสารผลิต สูตร และฉลากเปรียบเทียบกับที่ยื่นต่อ อย.
    • ตรวจสอบกระบวนการ QC, ระบบติดตามล็อต (traceability) และการควบคุมคู่ค้า/โรงงาน OEM
  3. เตรียมคำชี้แจงและแผนแก้ไข (CAPA)
    • อธิบายข้อเท็จจริงและแนบหลักฐาน เช่น ผลวิเคราะห์จากห้องแล็บที่น่าเชื่อถือ
    • เสนอแผนป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เช่น ปรับสูตร ปรับข้อความโฆษณา อบรมทีมการตลาด เพิ่มขั้นตอนตรวจสอบเอกสาร
  4. กรณีต้องเรียกคืนสินค้า (Recall)
    • จัดทำแผนเรียกคืนตามระดับความเสี่ยง (แจ้งผู้แทนจำหน่าย ร้านค้า ลูกค้า ฯลฯ)
    • เก็บบันทึกรายละเอียดจำนวนสินค้าที่เรียกคืนได้/ไม่สามารถเรียกคืนได้ เพื่อรายงาน อย.

คำถามติดตามที่พบบ่อย

  • หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งให้เรียกคืนสินค้า สามารถอุทธรณ์ได้อย่างไร?
  • ต้องเปิดเผยการเรียกคืนต่อสาธารณะในช่องทางใดบ้าง (เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ฯลฯ)?

6. บทบาททนายความในการเตรียมเอกสารและแก้ข้อขัดแย้งทางกฎหมาย

สำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าตลาดไทยอย่างจริงจัง ทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย อย. สามารถลด "ต้นทุนความผิดพลาด" ได้มาก ทั้งในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เอกสาร ไปจนถึงการจัดการข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐและคู่ค้า

  • การจำแนกผลิตภัณฑ์และออกแบบกลยุทธ์กฎหมายตั้งแต่ต้น
    • ช่วยวิเคราะห์ว่าควรยื่นเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือหมวดอื่น รวมถึงประเมินผลกระทบด้านเวลาและต้นทุน
    • ช่วยวางกรอบข้อความโฆษณาที่ปลอดภัยแต่ยังตอบโจทย์การตลาด
  • การจัดทำและตรวจสอบเอกสารยื่น อย.
    • ตรวจรูปแบบสัญญากับผู้ผลิต OEM/ผู้ถือใบอนุญาตในไทย (license holder) ให้ครอบคลุมความรับผิดและข้อมูลกรรมสิทธิ์
    • ช่วยจัดโครงสร้างการถือใบอนุญาตให้สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจ (เช่น ให้ตัวแทนเป็นผู้ถือใบอนุญาตแทน หรือตั้งบริษัทลูกในไทย)
  • การจัดการข้อพิพาทและการอุทธรณ์คำสั่ง อย.
    • ร่างหนังสือชี้แจง/อุทธรณ์อย่างเป็นระบบ อ้างอิงข้อกฎหมายและหลักฐานวิชาการ
    • ให้คำแนะนำเมื่อต้องรับผิดทางแพ่ง/อาญา หรือมีการดำเนินคดีจากการทำผิดกฎหมายอาหารและยา

คำถามติดตามที่พบบ่อย

  • ควรดึงทนายความเข้ามาตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบสูตรเลยหรือรอให้มีปัญหากับ อย. ก่อน?
  • บทบาททนายความต่างจากที่ปรึกษา Regulatory อย่างไร และควรมีทั้งสองฝ่ายหรือไม่?

7. Checklist แบบย่อสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าอาหารเสริม/เครื่องสำอางในไทย

หากคุณกำลังวางแผนเข้าตลาดไทย ลองใช้ checklist นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการพูดคุยกับทีมภายใน/ที่ปรึกษา/ทนายความ

  1. จำแนกผลิตภัณฑ์ชัดเจน: อาหารเสริม? เครื่องสำอาง? หรือหมวดอื่น?
  2. มีนิติบุคคลไทยหรือพาร์ทเนอร์ที่น่าเชื่อถือซึ่งพร้อมถือใบอนุญาตหรือยัง?
  3. สถานที่เก็บสินค้าและระบบโลจิสติกส์พร้อมตามเกณฑ์ อย. หรือไม่?
  4. แฟ้มเอกสารผลิตภัณฑ์ (สูตร, เอกสารผู้ผลิต, COA, ฉลาก) ครบถ้วนหรือยัง?
  5. ข้อความบนฉลากและสื่อโฆษณาทั้งหมดผ่านการตรวจโดยฝ่ายกฎหมาย/Regulatory แล้วหรือไม่?
  6. มี SOP สำหรับการรับมือกรณีสุ่มตรวจ เรียกเก็บตัวอย่าง หรือเรียกคืนสินค้าแล้วหรือยัง?

8. ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

หลายธุรกิจโดยเฉพาะรายใหม่มักเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางประการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางกฎหมายและการเงินที่ไม่คาดคิด

  • ความเข้าใจผิดที่ 1: "นำเข้าแค่ล็อตเล็ก ๆ หรือแค่ตัวอย่าง ไม่ต้องขึ้นทะเบียน"

    ในทางกฎหมาย การนำเข้าเพื่อ "จำหน่ายหรือส่งเสริมการขาย" มักถือว่าต้องผ่านการอนุญาตเช่นเดียวกับสินค้าที่ขายจริง แม้จะเป็นล็อตเล็กหรือใช้แจกตัวอย่าง หากไม่มีเอกสาร อย. ครบ สามารถถูกยึดและปรับได้

  • ความเข้าใจผิดที่ 2: "มีเลข อย. จากโรงงาน OEM แล้ว นำมาขายภายใต้แบรนด์เราได้เลย"

    เลข อย. ผูกกับสูตร ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า และฉลากที่แจ้งไว้ต่อ อย. หากเปลี่ยนแบรนด์ ผู้นำเข้า หรือดัดแปลงสูตร โดยไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงหรือไม่ขึ้นทะเบียนใหม่ เลขเดิมอาจใช้ไม่ได้และมีความเสี่ยงถูกเพิกถอน

  • ความเข้าใจผิดที่ 3: "ขายแค่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ต้องสนใจกฎหมาย อย. เท่าหน้าร้าน"

    การขายออนไลน์ก็อยู่ภายใต้กฎหมาย อย. เช่นเดียวกับการขายหน้าร้าน และยังมีร่องรอยดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ง่าย จึงถูกจับตาเรื่องโฆษณาเกินจริงหรือใช้ภาพ/ข้อความต้องห้ามมากกว่าด้วยซ้ำ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

นำเข้าอาหารเสริมจำนวนเล็กน้อยเพื่อขายในเพจส่วนตัว ต้องขึ้นทะเบียน อย. หรือไม่?

ถ้าเป็นการนำเข้าเพื่อ "จำหน่าย" ไม่ว่าจะเป็นจำนวนมากหรือน้อย ตามกฎหมายยังต้องมีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องและเลข อย. ครบถ้วน การไม่มีเอกสารครบอาจถูกยึดสินค้าและมีโทษปรับหรือโทษอาญาได้ แม้จะเป็นการขายผ่านเพจส่วนตัวก็ตาม

การจดแจ้งเครื่องสำอางใช้เวลานานเท่าไร?

ระบบจดแจ้งเครื่องสำอางออกแบบให้อนุมัติได้ค่อนข้างเร็ว (หลักวันทำการ หากเอกสารถูกต้องครบถ้วน) แต่ในทางปฏิบัติมักมีการ post-audit หรือตรวจสอบภายหลัง ซึ่งหากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือมีข้อสงสัย อาจถูกเรียกเอกสารเพิ่มหรือระงับการจำหน่ายได้(siamdevelopment.com)

ต่างชาติที่ยังไม่มีบริษัทในไทย สามารถขึ้นทะเบียน อย. เองได้หรือไม่?

โดยทั่วไป ต้องมี "นิติบุคคลไทย" หรือผู้แทนในไทยที่ได้รับอนุญาตเป็นผู้นำเข้า/ผู้รับใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ คุณจึงต้องเลือกว่าจะตั้งบริษัทลูกในไทยเอง หรือใช้บริษัทพาร์ทเนอร์/ตัวแทนที่พร้อมถือใบอนุญาตแทน(en.reach24h.com)

ถ้าสินค้าติดด่าน อย. เพราะสงสัยฉลากหรือสูตร ควรทำอย่างไร?

ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ด่าน อย. ทันที เตรียมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง (LPI, ใบขนสินค้า, แฟ้มผลิตภัณฑ์, COA, ฉลาก) และถ้าประเด็นซับซ้อน ควรให้ทนายความหรือที่ปรึกษา Regulatory ช่วยจัดทำหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการ เพื่อลดโอกาสถูกสั่งทำลายหรือส่งคืนสินค้า

เลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า "สินค้าปลอดภัยแน่นอน" ได้หรือไม่?

เลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งหมายถึงสินค้าผ่านการประเมินเบื้องต้นว่าฉลากและสูตรเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ณ วันที่อนุญาต แต่ไม่ใช่การรับรองว่าไม่มีความเสี่ยงหรือไม่มีโอกาสเจอปัญหาในอนาคต อย. ยังสามารถสุ่มตรวจและเพิกถอนอนุญาตได้หากพบข้อบกพร่องภายหลัง(cosmetic.fda.moph.go.th)

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความ

คุณควรพิจารณาดึงทนายความที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมาย อย. เข้ามามีส่วนร่วมโดยเฉพาะเมื่อ:

  • ผลิตภัณฑ์มีสูตรซับซ้อน มีส่วนผสมใหม่ หรือปริมาณสารเข้าใกล้เพดานที่กฎหมายกำหนด
  • เคลมการตลาดมีโอกาสถูกตีความเข้าใกล้ "ยา" หรือการรักษาโรค
  • ต้องจัดโครงสร้างความสัมพันธ์กับผู้ถือใบอนุญาตในไทย (license holder) หรือบริษัทคู่สัญญาหลายฝ่าย
  • เคยได้รับหนังสือเตือน/คำสั่งจาก อย. แล้ว และต้องเตรียมการอุทธรณ์หรือเจรจาแก้ไข
  • วางแผนลงทุนหรือทำดีลทางธุรกิจขนาดใหญ่ (เช่น ขายกิจการ/ร่วมทุน) ที่มูลค่าขึ้นกับใบอนุญาต อย. เป็นสำคัญ

ขั้นตอนต่อไปสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าตลาดไทย

หากคุณกำลังจะเริ่มหรือกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทย ขั้นตอนต่อไปที่แนะนำคือ:

  1. รวบรวมข้อมูลผลิตภัณฑ์ทั้งหมด (สูตร เคลม บรรจุภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย) แล้วขอให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมิน "หมวดผลิตภัณฑ์" ที่เหมาะสมที่สุด
  2. ตัดสินใจเรื่องโครงสร้างในไทย: ตั้งบริษัทเอง, ใช้ตัวแทนถือใบอนุญาต, หรือใช้รูปแบบผสม
  3. ออกแบบฉลากและแผนการตลาดตั้งแต่ต้นโดยให้ฝ่ายกฎหมาย/Regulatory ตรวจร่วม เพื่อเลี่ยงการแก้ทีหลัง
  4. จัดทำ SOP ภายในเกี่ยวกับการนำเข้า การเก็บเอกสาร และการสื่อสารกรณีมีการสุ่มตรวจ/เรียกคืน
  5. หากมูลค่าโครงการหรือความเสี่ยงสูง ควรปรึกษาทนายความด้านกฎหมาย อย. เพื่อช่วยกำหนดกลยุทธ์กฎหมายและสัญญาที่ครอบคลุม

แหล่งข้อมูลทางราชการที่ควรบุ๊คมาร์กไว้เพื่อใช้อ้างอิง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, หน้ารวมบริการนำเข้าและด่านตรวจ อย. และ ระบบข้อมูลเครื่องสำอาง อย. ซึ่งอัปเดตประกาศ ระเบียบ และแบบฟอร์มล่าสุดอย่างต่อเนื่อง(en.fda.moph.go.th)

บทความที่คล้ายกัน

ประเทศไทย Dec 11, 2025

ควบรวม-ซื้อกิจการใน Thailand ต้องรู้อะไรเรื่อง Due Diligence

ดีลควบรวม-ซื้อกิจการในไทยเริ่มจากการกำหนดโครงสร้างดีลและทำ due diligence ทางกฎหมาย การเงิน และภาษีอย่างเป็นระบบ...

อ่านบทความ
ประเทศไทย Dec 11, 2025

ทำสัญญาธุรกิจอย่างไรไม่เสียเปรียบ ในไทย (Thailand)

สัญญาธุรกิจในไทยที่ดีควรระบุคู่สัญญา ขอบเขตงาน ราคา/การชำระเงิน ระยะเวลา ความรับผิด และวิธีระงับข้อพิพาทให้ชัด เ...

อ่านบทความ
ประเทศไทย Dec 11, 2025

แก้ปัญหาข้อพิพาทแรงงานในองค์กร Thailand ไกล่เกลี่ยอย่างไร

การมี "นโยบายไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใน" ที่ชัดเจน ช่วยลดโอกาสถูกฟ้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน คณะกรรมการแรงงานสัม...

อ่านบทความ

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม