ควบรวม-ซื้อกิจการใน Thailand ต้องรู้อะไรเรื่อง Due Diligence

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025
  • ดีลควบรวม-ซื้อกิจการในไทยเริ่มจากการกำหนดโครงสร้างดีลและทำ due diligence ทางกฎหมาย การเงิน และภาษีอย่างเป็นระบบ ก่อนลงนามสัญญาซื้อขายหลัก (SPA/SSA)
  • ขอบเขต due diligence ที่ดีครอบคลุม: โครงสร้างผู้ถือหุ้น สัญญาสำคัญ ใบอนุญาต หนีสิน การฟ้องร้อง แรงงาน ภาษี ทรัพย์สินทางปัญญา และการปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรม
  • ประเด็นแรงงาน ภาษี สัญญากับบุคคลที่สาม และ IP มักเป็น "red flag" ที่ต้องจัดการด้วยเงื่อนไขในสัญญา เช่น pre-closing covenants, price adjustment หรือ specific indemnity
  • โครงสร้างการชำระเงินแบบแบ่งงวด earn-out escrow และกลไก warranties & indemnities เป็นเครื่องมือหลักในการป้องกันความเสี่ยงหลังดีล
  • หลายดีลต้องแจ้งหรือขออนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก.ล.ต. หน่วยงานกำกับเฉพาะ และอาจต้องพิจารณากฎหมายแข่งขันทางการค้า หากเป็นดีลขนาดใหญ่ในตลาดเดียวกัน
  • การวางแผน integration หลังดีล (คน ระบบ สัญญา แบรนด์) ตั้งแต่ต้น ช่วยลด disruption และเพิ่มโอกาสที่ synergy ตามแผนจะเกิดขึ้นจริง

ภาพรวมดีลควบรวม-ซื้อกิจการในไทย: ขั้นตอนหลักและภาพใหญ่

การควบรวม-ซื้อกิจการ (M&A) ในไทยโดยทั่วไปเริ่มจากการเจรจาเบื้องต้น ทำ term sheet/LOI แล้วเข้าสู่ขั้นตอน due diligence ก่อนสรุปโครงสร้างดีลและลงนามสัญญาซื้อขายหลัก จากนั้นจึงดำเนินการขออนุมัติจากหน่วยงานรัฐ (ถ้ามี) ปิดดีล (closing) และผสานกิจการ (integration) ต่อไป. การออกแบบกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอน ช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ภาษี และการดำเนินธุรกิจหลังดีล.

ขั้นตอนแบบ Step-by-Step โดยสรุป

  • ระยะเตรียมการและวางกลยุทธ์
    • กำหนดวัตถุประสงค์ดีล (ซื้อกิจการทั้งบริษัท ซื้อเฉพาะธุรกิจ หรือซื้อสินทรัพย์)
    • วิเคราะห์โครงสร้างเบื้องต้น: share deal vs asset deal, ในไทยหรือนอกไทย, ใช้โฮลดิ้งหรือไม่
    • ตรวจเบื้องต้นเรื่องกฎหมายต่างชาติ/โครงสร้างกลุ่มบริษัท
  • ระยะเจรจาเบื้องต้น
    • ทำ non-disclosure agreement (NDA)
    • เจรจาและจัดทำ term sheet หรือ letter of intent (LOI) ระบุราคาโครงสร้างดีล ช่วงเวลา และสิทธิ exclusivity (ถ้ามี)
  • ระยะ Due Diligence
    • ผู้ขายเปิด data room ให้ผู้ซื้อและที่ปรึกษาเข้าตรวจ
    • ที่ปรึกษากฎหมาย การเงิน และภาษีจัดทำรายงาน red flag report / full report
  • ระยะร่างและเจรจาสัญญา
    • ร่างสัญญาซื้อขายหุ้น/สินทรัพย์ (SPA/SSA/APA) และสัญญาที่เกี่ยวข้อง (shareholders' agreement, transitional services agreement)
    • กำหนดเงื่อนไขก่อนปิดดีล (conditions precedent) และกลไกชำระเงิน ปรับราคา และ W&I
  • ระยะอนุมัติและปิดดีล
    • ขออนุมัติจากบอร์ดและผู้ถือหุ้นของแต่ละฝ่าย
    • ยื่นเรื่องต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และพิจารณากฎหมายแข่งขัน
    • ดำเนินการ closing: โอนหุ้น/สินทรัพย์ ชำระเงิน แก้ไขทะเบียนนิติบุคคล
  • ระยะหลังปิดดีล
    • integration ด้านบุคลากร ระบบ IT แบรนด์ และสัญญากับคู่ค้า
    • ติดตามข้อพิพาท การเรียกใช้ indemnity หรือการปรับราคา (ถ้ามี)

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • ในกรณีของเรา ควรเลือก share deal หรือ asset deal ในประเทศไทย
  • ควรเริ่ม due diligence ก่อนหรือเจรจาราคา/โครงสร้างดีลก่อน
  • ปกติใช้ระยะเวลาเท่าไรตั้งแต่ LOI ถึง closing ในดีลไทย

1. ขอบเขตการตรวจสอบ Due Diligence ทางกฎหมายและการเงินมีอะไรบ้าง

การทำ due diligence ในดีลไทยควรครอบคลุมทั้งมุมกฎหมาย การเงิน และภาษี โดยเน้นค้นหา "จุดเสี่ยง" ที่อาจกระทบมูลค่ากิจการหรือทำให้ดีลเดินต่อไม่ได้. ผลลัพธ์ของ due diligence จะถูกนำไปใช้ในการตั้งราคา กำหนดเงื่อนไขในสัญญา และบางครั้งถึงขั้นปรับโครงสร้างดีลใหม่.

ขอบเขตการตรวจสอบทางกฎหมาย (Legal Due Diligence)

โดยทั่วไป legal due diligence ในไทยมักครอบคลุมหัวข้อหลักดังนี้:

  • โครงสร้างนิติบุคคลและผู้ถือหุ้น
    • ตรวจหนังสือรับรอง บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) วัตถุประสงค์ ทุนจดทะเบียน และสถานะจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
    • ตรวจว่าโครงสร้างหุ้นถูกต้องตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวหรือไม่ และมี nominee risk หรือไม่
  • ใบอนุญาตและการอนุมัติจากรัฐ
    • ตรวจใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ใบอนุญาตเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น โทรคมนาคม พลังงาน การเงิน อาหาร/ยา
    • ดูว่าโอนย้ายได้หรือไม่ และดีลทำให้ต้องขออนุมัติใหม่หรือแก้ไขผู้ถือหุ้น/กรรมการต่อหน่วยงานหรือไม่
  • สัญญาสำคัญ
    • สัญญากับลูกค้ารายใหญ่ ซัพพลายเออร์ ผู้ให้บริการหลัก สัญญาเช่า สัญญาเงินกู้ และสัญญาที่มี change-of-control clause
    • ประเมินว่าเมื่อมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้น/โครงสร้างแล้ว ต้องขอความยินยอมจากคู่สัญญาหรือไม่
  • หนี้สินและค้ำประกัน
    • หนี้เงินกู้กับธนาคาร ตราสารหนี้ หนี้การค้า และภาระผูกพันที่ยังไม่เกิดเป็นหนี้ (off-balance-sheet)
    • ภาระค้ำประกันที่บริษัทให้แก่บริษัทในกลุ่มหรือบุคคลที่สาม
  • การฟ้องร้องและข้อพิพาท
    • ตรวจสอบคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณา คดีอนุญาโตตุลาการ หรือข้อพิพาทที่ยังไม่เข้าสู่ศาล
    • ประเมิน exposure และโอกาสแพ้-ชนะ
  • การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานและสวัสดิการ (รายละเอียดในหัวข้อถัดไป)
  • การปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะด้านอื่นๆ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA), สิ่งแวดล้อม, ความปลอดภัย

ขอบเขตการตรวจสอบทางการเงิน (Financial Due Diligence)

Financial due diligence ช่วยให้ผู้ซื้อเข้าใจคุณภาพรายได้ กำไร กระแสเงินสด และโครงสร้างหนี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในงบการเงิน.

  • วิเคราะห์คุณภาพกำไร (quality of earnings)
    • แยกรายได้และกำไรปกติออกจากรายการพิเศษหรือครั้งเดียว
    • วิเคราะห์ความยั่งยืนของรายได้และฐานลูกค้า
  • วิเคราะห์ทุนหมุนเวียน (working capital)
    • วัฏจักรเก็บเงินลูกหนี้และจ่ายเจ้าหนี้
    • สต็อกสินค้าและสภาพคล่อง
  • วิเคราะห์โครงสร้างหนี้และภาระดอกเบี้ย
  • ตรวจสอบความสอดคล้องของงบการเงินกับเอกสารสนับสนุนสำคัญ
  • ประเมินสมมติฐานในการทำ business plan และ synergy

บทบาทของ Due Diligence ต่อราคาและสัญญา

  • ประเด็นเสี่ยงรุนแรงอาจทำให้:
    • ปรับลดราคา หรือใช้โครงสร้าง earn-out แทนจ่ายทั้งหมดทันที
    • ใส่เงื่อนไขให้ผู้ขายต้องแก้ไขก่อน closing
    • กำหนด specific indemnity ครอบคลุมความเสี่ยงนั้นโดยเฉพาะ

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • ควรใช้เวลาทำ due diligence นานเท่าไรสำหรับดีลขนาดกลางในไทย
  • ข้อมูลใดบ้างที่ผู้ซื้อควรขอใน data room ตั้งแต่รอบแรก
  • ควรแยกทีม legal, financial, tax due diligence อย่างไรให้ทำงานสอดประสานกัน

2. ประเด็นด้านแรงงาน ภาษี สัญญาจากบุคคลที่สาม และทรัพย์สินทางปัญญา

สี่ประเด็นนี้เป็น "กับดัก" ที่พบได้บ่อยในดีล M&A ในไทย เพราะมักมีผลกระทบทั้งต่อกฎหมาย ภาพลักษณ์ และผลประกอบการในทันทีหลังปิดดีล. การวางแผนตรวจสอบและจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ตั้งแต่ขั้น due diligence และสัญญาช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาหนักในภายหลัง.

ประเด็นแรงงาน (Employment & HR)

  • ตรวจสอบโครงสร้างพนักงาน
    • จำนวนพนักงาน ประเภทสัญญา (ประจำ ชั่วคราว สัญญาจ้างแบบโครงการ)
    • อัตรา turnover ตำแหน่ง key persons และ dependency ต่อบุคคลสำคัญ
  • สิทธิประโยชน์และภาระผูกพัน
    • เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชั่น สวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันสุขภาพ
    • หนี้สินที่อาจเกิดจากการเลิกจ้าง เช่น ค่าชดเชยตามกฎหมายหรือสัญญา
  • การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานไทย
    • ระเบียบข้อบังคับการทำงาน การจดทะเบียนมีหรือไม่
    • ข้อพิพาทแรงงานที่ค้างอยู่ หรือความเสี่ยงเรื่อง OT, สวัสดิการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย
  • แผนการสื่อสารและ retention plan หลังดีล
    • มาตรการรักษาคนเก่ง เช่น retention bonus, ESOP
    • แผนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรและการสื่อสารภายใน

ประเด็นภาษี (Tax)

  • ตรวจสอบความถูกต้องของการยื่นภาษี
    • ภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีศุลกากร (ถ้ามี)
    • จด VAT/ภพ.20 ถูกต้องหรือไม่ มีประเด็นถูกประเมินย้อนหลังหรือไม่
  • โครงสร้างการถือหุ้นและธุรกรรมในกลุ่ม
    • ธุรกรรมกับบริษัทในเครือและ transfer pricing
    • ประเมินความเสี่ยงถูกตรวจสอบย้อนหลังจากกรมสรรพากร
  • ภาษีจากตัวดีลเอง
    • ภาษีจากการโอนหุ้นหรือสินทรัพย์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมจดทะเบียน
    • วางโครงสร้างดีลเพื่อให้ภาษีโดยรวมมีประสิทธิภาพโดยไม่เสี่ยงผิดกฎหมาย

สัญญากับบุคคลที่สาม (Third-Party Contracts)

  • สัญญาที่มีผลกระทบสำคัญ
    • ลูกค้ารายใหญ่ ซัพพลายเออร์หลัก สัญญาเช่าที่ดิน/อาคาร ซอฟต์แวร์/ไลเซนส์หลัก
    • ข้อตกลงร่วมทุน (JV) หรือ shareholders' agreement ที่ให้สิทธิพิเศษแก่บางฝ่าย
  • ข้อกำหนดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการควบคุม (Change of Control)
    • สัญญาบางฉบับอาจให้สิทธิคู่สัญญาเลิกสัญญา หากมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่
    • จำเป็นต้องตรวจและวางแผนขอ consent หรือ renegotiate ล่วงหน้า
  • ข้อจำกัดด้าน non-compete และ exclusivity
    • เงื่อนไขที่อาจจำกัดการใช้ประโยชน์กิจการหลังดีล

ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property, IP)

  • สิทธิในเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และความลับทางการค้า
    • กิจการมีการจดทะเบียนสิทธิหรือไม่ ในนามบริษัทที่ซื้อหรือในนามผู้ก่อตั้ง/บริษัทอื่น
    • มีสัญญาโอนสิทธิหรือสัญญาอนุญาตใช้สิทธิอย่างถูกต้องหรือไม่
  • Software และระบบที่ใช้ดำเนินธุรกิจ
    • สิทธิในซอร์สโค้ด (ถ้ามี), สัญญาไลเซนส์กับ vendor, เงื่อนไขการโอนย้ายสัญญา
  • การละเมิดสิทธิของผู้อื่น
    • มีการถูกเตือนหรือฟ้องร้องเรื่องละเมิด IP หรือไม่

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • ควรแก้ไขการถือครอง IP ให้มาอยู่ในนิติบุคคลใดก่อน/หลังดีล
  • กรณีที่พบความเสี่ยงภาษีสูง ควรเจรจาเรื่อง escrow หรือ specific indemnity อย่างไร
  • หากคู่สัญญารายสำคัญไม่ยอมให้ consent ดีลยังควรเดินหน้าต่อหรือไม่

3. การจัดโครงสร้างการชำระเงินและการป้องกันความเสี่ยง (Warranties & Indemnities)

โครงสร้างการชำระเงินและระบบป้องกันความเสี่ยงในสัญญา เป็น "เครื่องมือทางกฎหมาย" สำคัญในการบริหารความไม่แน่นอนของดีล M&A. การผสมผสานระหว่างการจ่ายเงิน (upfront, earn-out, holdback) กับ warranties & indemnities ที่ออกแบบดี สามารถสร้างสมดุลให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย.

โครงสร้างการชำระเงินที่ใช้บ่อย

  • จ่ายเต็มจำนวน ณ วันปิดดีล (Lump Sum on Closing)
    • เหมาะกับดีลที่ความเสี่ยงต่ำและ due diligence ครอบคลุมมาก
    • ผู้ซื้อควรเน้นขยายความคุ้มครองผ่าน warranties & indemnities
  • ชำระเป็นงวดและ Earn-out
    • ส่วนหนึ่งจ่ายทันที ที่เหลือจ่ายตามผลการดำเนินงานในอนาคต
    • ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องตัวเลขประมาณการ แต่ต้องกำหนดวิธีคำนวณชัดเจนเพื่อลดข้อพิพาท
  • Holdback และ Escrow
    • กันเงินบางส่วนไว้ระยะเวลาหนึ่ง เผื่อใช้ชดเชยหากมีการละเมิด warranties หรือพบหนี้แฝง
    • อาจใช้บัญชี escrow กับธนาคารหรือ third-party agent
  • Purchase Price Adjustment (PPA)
    • ปรับราคาตามเงินสด หนี้สิน หรือทุนหมุนเวียน ณ วันที่ closing เทียบกับตัวเลขเป้าหมาย
    • ต้องตกลงวิธีคำนวณและหลักการบัญชีที่ใช้ให้ชัดเจน

Warranties & Representations

Warranties คือคำรับรองข้อเท็จจริงทางธุรกิจและกฎหมายที่ผู้ขายให้แก่ผู้ซื้อในสัญญา เช่น ความถูกต้องของงบการเงิน การไม่มีข้อพิพาทสำคัญ การถือสิทธิในทรัพย์สิน. การออกแบบ warranties ที่เหมาะสมช่วยให้ผู้ซื้อมี "ตาข่ายนิรภัย" หากภายหลังพบว่าข้อมูลไม่ตรงตามที่รับรอง.

  • Warranties ทั่วไป
    • สถานะนิติบุคคล ผู้ถือหุ้น กรรมการ ไม่มีการล้มละลาย
    • งบการเงินสะท้อนฐานะการเงินอย่างถูกต้องสมควร
    • ไม่มีคดีหรือข้อพิพาทที่ไม่ได้เปิดเผยในระดับสำคัญ
  • Business-specific Warranties
    • ความถูกต้องของข้อมูลลูกค้า/ยอดขาย ความต่อเนื่องของใบอนุญาตเฉพาะ
    • การปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรม PDPA หรือกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • การเปิดเผย (Disclosure)
    • ผู้ขายมักแนบ disclosure letter ระบุข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ภายใต้ warranties บางข้อ
    • ทีมผู้ซื้อควรตรวจสอบสอดคล้องกับผล due diligence

Indemnities (การชดใช้ค่าสินไหมเฉพาะกรณี)

Indemnity ต่างจาก warranties ตรงที่มักระบุ "ความเสี่ยงเฉพาะ" ที่พบจาก due diligence และผู้ขายตกลงจะรับผิดชอบเต็มจำนวนหากความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้น เช่น ภาษีย้อนหลังจากประเด็นที่พบแล้ว หรือคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณา.

  • ตัวอย่างการใช้ indemnity
    • ภาษีศุลกากรย้อนหลังจากการนำเข้าสินค้าบางชุดที่กรมศุลกากรกำลังตรวจสอบ
    • ข้อพิพาทแรงงานที่อยู่ระหว่างฟ้องร้องซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ก่อน closing
  • ขอบเขตและข้อจำกัดความรับผิด
    • กำหนดระยะเวลาที่สามารถเรียกร้องได้ (limitation period)
    • กำหนดวงเงินสูงสุด (cap) และเกณฑ์ขั้นต่ำก่อนเรียกร้อง (de minimis, basket)

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • ในดีลของเรา ควรกำหนด escrow เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของราคาและนานเท่าไรจึงเหมาะสม
  • ควรยอมให้ cap ความรับผิดที่เท่าไร และแบ่ง cap ระหว่าง warranties ทั่วไปกับ specific indemnities หรือไม่
  • ใช้ประกัน W&I insurance แทนการรับความเสี่ยงโดยตรงจากผู้ขายในไทยได้แค่ไหน

4. ข้อบังคับการอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐและการปฏิบัติตามกฎหมายแข่งขัน

ดีล M&A ในไทยหลายประเภทต้องแจ้งหรือขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ เช่น หากเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียน ธุรกิจภายใต้กฎหมายต่างด้าว ธุรกิจการเงิน หรือดีลที่มีผลต่อการแข่งขันในตลาด. การตรวจสอบเรื่อง regulatory approval ตั้งแต่ต้นเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนไทม์ไลน์และความเป็นไปได้ของดีล.

ตัวอย่างหน่วยงานและการอนุมัติที่มักเกี่ยวข้อง

  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)
    • ใช้สำหรับจดทะเบียนโอนหุ้น เปลี่ยนกรรมการ เปลี่ยนวัตถุประสงค์ และแก้ไขข้อบังคับของบริษัท
    • ต้องเตรียมมติผู้ถือหุ้น/กรรมการและแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง
    • ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์
    • เกี่ยวข้องเมื่อดีลมีผลต่อบริษัทมหาชนจดทะเบียน การเข้าซื้อกิจการอย่างมีนัยสำคัญ หรือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (tender offer)
    • ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องการเปิดเผยข้อมูล การทำรายการได้มาหรือจำหน่ายไปของสินทรัพย์ และรายการที่เกี่ยวโยงกัน
    • ศึกษากฎเกณฑ์ล่าสุดได้จาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
  • หน่วยงานกำกับเฉพาะอุตสาหกรรม
    • เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (กิจการสถาบันการเงิน/ฟินเทคบางประเภท) กสทช. (กิจการโทรคมนาคม/สื่อสาร), สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, หน่วยงานพลังงาน อาหารและยา ฯลฯ
    • บางกรณีต้องขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่หรือโครงสร้างการควบคุมกิจการล่วงหน้า
  • กฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และ BOI
    • ถ้าผู้ซื้อเป็นต่างชาติ ต้องพิจารณาว่าธุรกิจเข้าข่ายต้องมีใบอนุญาตตามกฎหมายคนต่างด้าวหรือไม่
    • ถ้าบริษัทมีสิทธิประโยชน์ BOI การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาจต้องแจ้งหรือขออนุมัติคณะกรรมการ BOI

การปฏิบัติตามกฎหมายแข่งขันทางการค้า

ถ้าดีลเป็นการควบรวมกิจการระหว่างคู่แข่งในตลาดเดียวกัน หรือมีส่วนแบ่งตลาดสูงหลังดีล อาจต้องพิจารณากฎหมายแข่งขันทางการค้าไทย ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งหรือขออนุญาตขึ้นอยู่กับเกณฑ์ขนาดดีลและส่วนแบ่งตลาด.

  • การประเมินเบื้องต้น
    • นิยาม "ตลาดที่เกี่ยวข้อง" (relevant market): สินค้า/บริการและภูมิศาสตร์
    • คำนวณส่วนแบ่งตลาดของแต่ละฝ่ายก่อนและหลังดีล
    • ประเมินผลต่อการแข่งขัน เช่น การลดตัวเลือกของผู้บริโภค หรืออำนาจต่อรองที่สูงขึ้น
  • ขั้นตอนเชิงปฏิบัติ
    • ร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายแข่งขันจัดทำการวิเคราะห์ตลาดและผลกระทบ
    • เตรียมเอกสารและยื่นต่อหน่วยงานกำกับ (เช่น สำนักงานการแข่งขันทางการค้า/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
    • วางเงื่อนไขในสัญญาให้การปิดดีลขึ้นกับการได้มาซึ่งการอนุญาตดังกล่าว (condition precedent)

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • ดีลของเราจะเข้าข่ายต้องขออนุญาตหรือเพียงต้องแจ้งตามกฎหมายแข่งขันทางการค้าหรือไม่
  • ควรยื่นขอความเห็นล่วงหน้าจากหน่วยงานกำกับหรือไม่ในกรณีที่ลักษณะดีลอยู่ใน "โซนสีเทา"
  • ไทม์ไลน์การอนุมัติจากหน่วยงานรัฐมีผลต่อการกำหนดวัน closing อย่างไร

5. แผนการผสานกิจการหลังดีล (Integration) และข้อพึงระวังปฏิบัติ

การปิดดีลไม่ใช่ "เส้นชัย" แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการผสานกิจการ (integration) ซึ่งกำหนดว่าดีลจะสร้างมูลค่าได้ตามแผนหรือไม่. การวางแผน integration ตั้งแต่ก่อน signing และมีแผนปฏิบัติที่ชัดเจน ช่วยลดปัญหาคน ระบบ และลูกค้าที่มักเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่าน.

องค์ประกอบหลักของแผน Integration

  • คนและวัฒนธรรมองค์กร
    • กำหนดโครงสร้างองค์กรใหม่ บทบาทผู้บริหาร และ reporting line อย่างชัดเจน
    • วางแผนสื่อสารกับพนักงานเพื่อลดความกังวลเรื่องการเลิกจ้างหรือเปลี่ยนแปลงสวัสดิการ
  • ระบบและกระบวนการ
    • วางแผน integration ด้านระบบบัญชี การเงิน ERP CRM และ HR
    • ประเมินความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เมื่อรวมฐานข้อมูลลูกค้า/พนักงาน
  • ลูกค้า แบรนด์ และผลิตภัณฑ์
    • กำหนดแผนสื่อสารกับลูกค้าและคู่ค้า และการใช้แบรนด์หลังดีล
    • ประเมินผลกระทบต่อราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และสัญญาที่ต้องเปลี่ยนชื่อคู่สัญญา
  • การกำกับดูแลและ Compliance
    • รวม policy สำคัญ เช่น anti-corruption, data protection, procurement
    • แต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้าน compliance ในโครงสร้างใหม่

ข้อพึงระวังในการปฏิบัติ

  • เตรียม integration team ข้ามสายงาน (multi-function) ตั้งแต่ก่อน closing
  • กำหนด milestone ชัดเจนใน 30, 90, 180 วันแรกหลังดีล
  • ตรวจสอบข้อจำกัดตามกฎหมายแข่งขัน ว่ามีกิจกรรมใดที่ทำร่วมกันได้หรือไม่ได้ก่อนดีลปิด เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านราคา
  • เก็บ evidence การปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาและ regulatory requirements อย่างเป็นระบบ

คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น

  • ควรตั้ง integration office หรือ PMO ถาวรสำหรับดีลขนาดไหน
  • จะจัดการกับการซ้ำซ้อนของตำแหน่ง/ทีมขายในไทยอย่างไรจึงจะลดความขัดแย้งได้
  • ควรเริ่มรวมระบบ IT เมื่อไหร่ โดยไม่กระทบการดำเนินงานประจำ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในการทำดีล M&A ในไทย

  • คิดว่า due diligence เป็นแค่ "เช็กลิสต์เอกสาร"

    ความจริงคือ due diligence ที่ดีต้องเชื่อมโยงผลการตรวจสอบเข้ากับราคา โครงสร้างดีล และเนื้อหาในสัญญา ไม่ใช่แค่รับเอกสารและเก็บเข้าตู้.

  • มองข้ามประเด็นภาษีและแรงงาน

    หลายดีลให้ความสำคัญกับงบการเงินและสัญญา แต่ไม่ลงลึกเรื่องภาษีและแรงงาน ทั้งที่สองเรื่องนี้เป็นแหล่งหนี้แฝงและข้อพิพาทหลังดีลที่พบได้บ่อย.

  • ไม่วางแผน regulatory approval และกฎหมายแข่งขันตั้งแต่ต้น

    ทำให้กำหนดวัน closing ไม่สอดคล้องกับไทม์ไลน์ของหน่วยงานรัฐ บางกรณีต้องเลื่อนหรือยกเลิกดีลเพราะประเมินความเสี่ยงด้านกฎหมายแข่งขันผิด.

FAQ: คำถามที่มักพบบ่อย

ดีล M&A ขนาดกลางในไทยควรเผื่อเวลา Due Diligence นานเท่าไร

โดยทั่วไปดีลขนาดกลางมักใช้เวลาทำ due diligence ประมาณ 4-8 สัปดาห์ ขึ้นกับความพร้อมของข้อมูลและจำนวนบริษัท/ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง หากอุตสาหกรรมมีข้อกำกับซับซ้อนหรือมีหลายเขตอำนาจศาล อาจต้องเผื่อเวลามากกว่านั้น.

ควรเลือกใช้ share deal หรือ asset deal เมื่อซื้อกิจการในไทย

หากต้องการซื้อทั้ง "แพ็กเกจธุรกิจ" พร้อมใบอนุญาต ลูกค้า และพนักงานเดิม มักใช้ share deal ซึ่งโอนทั้งนิติบุคคล ในขณะที่ asset deal เหมาะกับกรณีที่ต้องการ "เลือกซื้อ" เฉพาะสินทรัพย์หรือธุรกิจบางส่วน และลดการรับช่วงหนี้สินที่ไม่ต้องการ แต่การโอนสัญญาและใบอนุญาตจะซับซ้อนกว่า.

จำเป็นต้องใช้ที่ปรึกษาภาษีแยกจากที่ปรึกษากฎหมายหรือไม่

สำหรับดีลขนาดเล็กมากอาจไม่จำเป็น แต่สำหรับดีลขนาดกลางขึ้นไป การมีที่ปรึกษาภาษีหรือทีม tax DD แยกต่างหากจะช่วยให้เห็นภาพความเสี่ยงภาษีและโอกาสวางโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับข้อกำหนดของกรมสรรพากร.

หากพบปัญหาหนักระหว่าง Due Diligence ดีลต้องยกเลิกเสมอหรือไม่

ไม่จำเป็นเสมอไป หลายกรณีสามารถจัดการผ่านการปรับราคา การกำหนด specific indemnity การกันเงิน escrow หรือให้ผู้ขายแก้ไขปัญหาบางอย่างให้เสร็จก่อน closing ทั้งนี้ขึ้นกับ nature และขนาดความเสี่ยงเมื่อเทียบกับมูลค่าดีล.

ควรเริ่มคุยกับหน่วยงานรัฐเรื่องการอนุญาตเมื่อไร

ควรหารือเบื้องต้นกับที่ปรึกษากฎหมายทันทีที่ได้โครงสร้างดีลเบื้องต้น จากนั้นจึงวางแผน timeline การยื่นขออนุมัติหรือแจ้งหน่วยงานรัฐ และกำหนด condition precedent ในสัญญาให้สอดคล้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่ดีลต้องเลื่อนหรือไม่สามารถปิดได้ตามกำหนด.

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความและที่ปรึกษามืออาชีพ

ควรจ้างทนายความและที่ปรึกษามืออาชีพทันทีที่เริ่มคิดทำดีล ไม่ใช่รอถึงช่วงร่างสัญญา เพราะประเด็นสำคัญส่วนใหญ่ถูก "ล็อก" ไปแล้วตั้งแต่ขั้นกำหนดโครงสร้างดีลและ LOI. ทนายความที่มีประสบการณ์ M&A ในไทยจะช่วยประเมินความเป็นไปได้ของดีล วางแผน due diligence และออกแบบกลไกป้องกันความเสี่ยงในสัญญาให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อจำกัดเชิงพาณิชย์.

  • ก่อน LOI: ช่วยเลือกโครงสร้างดีล (share vs asset) ประเมินประเด็นกฎหมายต่างด้าว ภาษี และกฎหมายแข่งขันเบื้องต้น
  • ระหว่าง Due Diligence: ช่วยออกแบบ request list วิเคราะห์ข้อมูล และเชื่อมผล DD เข้ากับราคา/เงื่อนไขสัญญา
  • ช่วงร่างและเจรจาสัญญา: ช่วยต่อรองประเด็นสำคัญ เช่น W&I, indemnity, escrow, condition precedent
  • ก่อนและหลัง Closing: ช่วยจัดการเอกสารจดทะเบียน การยื่นต่อหน่วยงานรัฐ และประเด็นข้อพิพาทหลังดีล

ขั้นตอนต่อไปสำหรับบริษัทที่กำลังวางแผนดีลในไทย

หากธุรกิจของคุณกำลังพิจารณาซื้อหรือขายกิจการในไทย ขั้นตอนต่อไปที่ควรทำคือกำหนดเป้าหมายดีลให้ชัดเจน และเตรียมทีมที่ปรึกษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ. จากนั้นจึงออกแบบแผน due diligence และไทม์ไลน์ดีลที่สะท้อนความเสี่ยงด้านกฎหมาย ภาษี และ regulatory approval อย่างสมจริง.

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ดีลและขอบเขตธุรกิจ/สินทรัพย์ที่ต้องการซื้อหรือขาย
  2. พูดคุยกับที่ปรึกษากฎหมายและภาษีเพื่อเลือกโครงสร้างดีลที่เหมาะสมในบริบทของไทย
  3. เตรียมข้อมูลเบื้องต้น (สำหรับผู้ขาย) หรือรายการข้อมูลที่ต้องการ (สำหรับผู้ซื้อ) เพื่อใช้ในการ due diligence
  4. วาง road map ของดีลตั้งแต่ LOI, due diligence, สัญญาหลัก ไปจนถึง closing และ integration
  5. ใช้แพลตฟอร์มกฎหมายที่น่าเชื่อถือเพื่อค้นหาและเปรียบเทียบทนายความ M&A ที่มีประสบการณ์ในไทยให้เหมาะกับขนาดและลักษณะดีลของคุณ

การลงทุนเวลาและทรัพยากรในช่วงวางแผนและ due diligence อย่างรอบคอบ จะช่วยลดโอกาสเกิด "ดีลผิดฝั่ง" และเพิ่มโอกาสที่การควบรวม-ซื้อกิจการในไทยของคุณจะสร้างมูลค่าได้จริงในระยะยาว.

บทความที่คล้ายกัน

ประเทศไทย Dec 23, 2025

ฟ้องคดีธุรกิจในศาลไทย ต้องรู้อะไรก่อนบ้างสำหรับเจ้าของกิจการใน Thailand

ก่อนตัดสินใจฟ้องคดีธุรกิจในศาล คุณควรประเมินทั้งโอกาสชนะคดี ต้นทุนเวลา และค่าใช้จ่าย รวมถึงโอกาสในการเจรจาไกล่เก...

อ่านบทความ
ประเทศไทย Dec 11, 2025

ถูกสอบสวนกฎหมายแข่งขันทางการค้าใน Thailand ทำไงดี

หากได้รับหนังสือสอบสวนหรือถูก "บุกตรวจ" (dawn raid) ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า นายจ้างและผู้บริหารต้องตอบสน...

อ่านบทความ
ประเทศไทย Dec 11, 2025

ควบรวม-ซื้อกิจการ Thailand ต้องเริ่มยังไง? เช็ก Due Diligence

ดีลควบรวม-ซื้อกิจการ (M&A) ในไทยต้องเริ่มจากการกำหนดขอบเขต Due Diligence ทางกฎหมายและการเงินให้ชัดเจน ว่าต้อ...

อ่านบทความ

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม