หนี้เสีย SME แก้ยังไงดี ฟื้นฟูกิจการก่อนล้มละลายใน Thailand

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025

ฟื้นฟูกิจการ SME ในไทย: ทางเลือกก่อนยื่นล้มละลาย

จุดประสงค์การค้นหา: Know + Do (ต้องการเข้าใจทางเลือกและเริ่มลงมือเจรจา/เตรียมเอกสาร)

กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ประกอบการ / ผู้บริหาร SME (B2B) ที่มีปัญหาสภาพคล่อง และต้องการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือฟื้นฟูกิจการมากกว่าปิดกิจการ

  • "ปรับโครงสร้างหนี้" สามารถทำได้ทั้งแบบเจรจานอกศาลและผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาล ต่างจาก "ล้มละลาย" ซึ่งเน้นการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์มาชำระหนี้
  • SME ที่มีหนี้จากการประกอบธุรกิจและมีช่องทางฟื้นฟู สามารถยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ไม่จำเป็นต้องรอถูกฟ้องล้มละลายก่อน
  • การเตรียมเอกสารการเงินและเอกสารนิติบุคคลครบถ้วน เป็นหัวใจสำคัญให้ทนายและที่ปรึกษาวางแผนเจรจาหนี้และจัดทำแผนฟื้นฟูที่น่าเชื่อถือ
  • ศาลล้มละลายกลาง ผู้ทำแผน และกรมบังคับคดี มีบทบาทร่วมกันในการกลั่นกรองแผน ดูแลประชุมเจ้าหนี้ และกำกับการฟื้นฟูให้เป็นธรรมทั้งต่อลูกหนี้และเจ้าหนี้
  • การลงมือเร็ว ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเจรจากับเจ้าหนี้เชิงรุก มักช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นกิจการได้ดีกว่ารอให้คดีบานปลายไปถึงขั้นล้มละลาย

1. ความแตกต่างระหว่างปรับโครงสร้างหนี้และการล้มละลายตามกฎหมายไทย

สำหรับ SME ไทย "ปรับโครงสร้างหนี้" คือการปรับเงื่อนไขหนี้เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ ไม่ว่าจะทำผ่านการเจรจาตรงกับเจ้าหนี้หรือตามกระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาล ส่วน "ล้มละลาย" คือขั้นที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย และใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่มาจ่ายเจ้าหนี้เป็นหลัก ลูกหนี้มักไม่สามารถทำธุรกิจต่อในรูปแบบเดิมได้

การเข้าใจความต่างของ 3 ระดับนี้สำคัญมาก ได้แก่ (1) การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้นอกศาล (2) การฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย และ (3) กระบวนการล้มละลาย/พิทักษ์ทรัพย์ หากคุณยังมีศักยภาพในธุรกิจ การใช้ช่องทาง "ฟื้นฟูกิจการ" มักเป็นทางเลือกลดความเสียหายโดยรวมดีกว่าปล่อยให้เข้าสู่ขั้นล้มละลาย

1.1 ตัวเลือกหลักๆ สำหรับ SME ที่เป็นหนี้

ภาพรวมแล้ว SME ที่มีปัญหาหนี้มี 3 ทางเลือกหลักที่เกี่ยวกับกฎหมายล้มละลายและฟื้นฟู

  • การปรับโครงสร้างหนี้นอกศาล
    • คือการเจรจาตรงกับธนาคาร/เจ้าหนี้รายสำคัญ เช่น ขอขยายระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย พักชำระเงินต้นชั่วคราว หรือแปลงหนี้เป็นทุน
    • ยืดหยุ่นสูง เอกสารน้อยกว่าขึ้นศาล แต่ต้องอาศัยความร่วมมือและความเชื่อมั่นจากเจ้าหนี้
    • ยังไม่เกิด "สภาวะพักคดี" ลูกหนี้ยังอาจถูกฟ้องหรือถูกบังคับคดีได้หากตกลงกันไม่สำเร็จ
  • การฟื้นฟูกิจการในศาล
    • เป็นกลไกพิเศษในพระราชบัญญัติล้มละลายที่เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีหนี้จากการดำเนินธุรกิจ และยังมีโอกาสฟื้นตัว ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งฟื้นฟูกิจการและเห็นชอบด้วยแผนได้
    • สำหรับ SME มีหมวดเฉพาะ (หมวด 3/2) กำหนดเกณฑ์หนี้ขั้นต่ำและกระบวนการที่ง่ายขึ้นเพื่อช่วยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
    • เมื่อศาลรับคำร้อง จะเกิด "สภาวะพักคดี" (automatic stay) เจ้าหนี้หยุดฟ้องใหม่ และการบังคับคดีที่ค้างอยู่ต้องหยุดลงชั่วคราว
    • ถ้าแผนฟื้นฟูผ่านมติเจ้าหนี้และศาลเห็นชอบ ลูกหนี้จะชำระหนี้ตามแผนใหม่แทนสัญญาเดิม
  • การล้มละลายและพิทักษ์ทรัพย์
    • โดยทั่วไปเริ่มจากเจ้าหนี้ยื่นฟ้องล้มละลาย เมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุ (เช่น หนี้ถึงเกณฑ์และลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้) ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และท้ายสุดพิพากษาให้ล้มละลาย
    • เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมและขายทรัพย์สินของลูกหนี้มาชำระเจ้าหนี้ตามส่วน
    • ลูกหนี้ (รวมถึงผู้บริหารบางกรณี) ถูกจำกัดสิทธิหลายด้านและเสียความน่าเชื่อถืออย่างมาก

1.2 เปรียบเทียบแบบสั้น: ปรับโครงสร้างหนี้ vs ฟื้นฟู vs ล้มละลาย

ประเด็น ปรับโครงสร้างหนี้นอกศาล ฟื้นฟูกิจการในศาล ล้มละลาย
ผู้ริเริ่ม ลูกหนี้/เจ้าหนี้ ตกลงกันเอง ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาล มักเป็นเจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้
สภาวะพักคดี (หยุดฟ้อง-บังคับคดี) ไม่มีโดยอัตโนมัติ มี เมื่อศาลรับคำร้องฟื้นฟู มี เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
เป้าหมายหลัก ให้ธุรกิจผ่อนเบาภาระหนี้ชั่วคราว/ระยะยาว ฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาทำกำไรและชำระหนี้ตามแผน รวบรวมทรัพย์สินมาแบ่งเจ้าหนี้ ปิดจบความสัมพันธ์เดิม
ผลต่อภาพลักษณ์ กระทบไม่มาก หากจัดการสื่อสารดี มีข่าว/คำสั่งศาล แต่อธิบายได้ว่าเป็นการ "รักษาธุรกิจ" กระทบสูง ถูกมองว่าเป็น "จบกิจการ" ในรูปแบบเดิม

1.3 เกณฑ์เบื้องต้นของการฟื้นฟูกิจการ SME

กฎหมายกำหนดว่า ลูกหนี้ต้อง "ไม่อยู่ในสถานะที่จะชำระหนี้ได้" และเป็นหนี้จากการดำเนินกิจการ โดยเมื่อรวมหนี้บุคคลเดียวหรือหลายคนแล้วต้องถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามประเภทลูกหนี้ (เช่น บุคคลธรรมดาไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วน/คณะบุคคลและบริษัทจำกัดไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาทสำหรับกรณีหนึ่ง และมีกฎเกณฑ์เฉพาะเพิ่มเติมสำหรับ SME ตามหมวด 3/2)(drthawip.com)

แก่นสำคัญคือ "ต้องยังมีช่องทางฟื้นฟูกิจการ" เช่น มีโอกาสปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีกำไรในอนาคต แม้วันนี้จะขาดสภาพคล่อง หากธุรกิจตายสนิท ไม่มีตลาดหรือโมเดลธุรกิจรองรับแล้ว การฟื้นฟูอาจไม่ใช่คำตอบที่ศาลจะเห็นชอบ

คำถามติดตามที่อาจมี

  • เกณฑ์หนี้ขั้นต่ำของ SME ในปัจจุบันคือเท่าไร และนับหนี้แบบไหนบ้าง
  • ธุรกิจที่เป็นห้างหุ้นส่วนไม่จดทะเบียน หรือบุคคลธรรมดาเจ้าของกิจการ สามารถยื่นฟื้นฟูได้หรือไม่
  • ควรเลือกเจรจานอกศาลก่อน หรือยื่นฟื้นฟูกิจการเลยดีกว่าในกรณีใดบ้าง

2. กระบวนการเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้และข้อเสนอแผนฟื้นฟู

การเจรจาหนี้ที่ดีเริ่มจากการเข้าใจตัวเลขและข้อจำกัดของธุรกิจตัวเองให้ชัด ก่อนจะเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ด้วยข้อเสนอที่มีเหตุผลและทำได้จริง สำหรับ SME ส่วนใหญ่ การเจรจานอกศาลเป็น "ด่านแรก" ที่ควรลอง เพราะใช้เวลาและค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเข้าสู่กระบวนการศาล และยังช่วยสร้างฐานข้อมูลที่พร้อมหากต้องไปยื่นฟื้นฟูภายหลัง

เป้าหมายของการเจรจาไม่ใช่แค่ "ลดหนี้" แต่คือการออกแบบโครงสร้างหนี้ใหม่ที่ทำให้ธุรกิจเดินต่อได้ และเจ้าหนี้ได้รับเงินคืนได้มากกว่าทางเลือกอื่น เช่น ปล่อยให้ฟ้องล้มละลายหรือบังคับคดีทีละราย ซึ่งมักทำให้ทุกฝ่ายเสียหายมากกว่า

2.1 ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเจรจาหนี้

ก่อนติดต่อธนาคารหรือเจ้าหนี้รายใหญ่ แนะนำให้ทำ "การบ้าน" ดังนี้

  1. ประเมินสถานะธุรกิจของตนเอง
    • จัดทำประมาณการกระแสเงินสด (cash flow) อย่างน้อย 6-24 เดือน
    • สรุปรายได้หลัก รายได้เสริม และต้นทุนคงที่-ผันแปรที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ
    • ดูความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนอย่าง "จริงจัง" ไม่ใช่ตัวเลขในอุดมคติ
  2. รวบรวมข้อมูลหนี้ทั้งหมด
    • ทำ "บัญชีเจ้าหนี้" แยกตามประเภท: ธนาคาร สถาบันการเงิน เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้เงินกู้ส่วนตัว ฯลฯ
    • ระบุยอดคงค้าง ดอกเบี้ย อัตราปรับ หลักประกัน และสถานะทางกฎหมาย (ถูกฟ้อง/บังคับคดีอยู่หรือไม่)
  3. กำหนดแนวทางที่ธุรกิจต้องการ
    • เช่น ขอพักชำระเงินต้น 6-12 เดือน, ขอให้ดอกเบี้ยลดลงชั่วคราว, ขอขยายระยะเวลาผ่อนเป็น 5-7 ปี
    • เตรียม "เหตุผลทางธุรกิจ" ว่าทำไมเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้กลับมาชำระหนี้ได้ปกติ

2.2 เทคนิคการเจรจากับเจ้าหนี้ (โดยเฉพาะธนาคาร)

เมื่อเตรียมข้อมูลครบ สิ่งต่อมาคือวิธีสื่อสารกับเจ้าหนี้ให้เห็นว่าการช่วยคุณวันนี้ดีกว่าปล่อยให้ธุรกิจล้ม และได้คืนหนี้น้อยลงในอนาคต

  • เริ่มเจรจาตั้งแต่ "ยังไม่เป็นหนี้เสีย" ธปท.และหน่วยงานรัฐมีแนวทางให้เจ้าหนี้ต้องเสนอแผนปรับโครงสร้างหนี้แก่ลูกหนี้ทั้งรายย่อยและ SME ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียแล้วอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งหากคุณขอคุยตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสได้เงื่อนไขที่ดีจะสูงกว่า(gcc.go.th)
  • แสดงแผนธุรกิจและแผนฟื้นฟูเบื้องต้น เช่น แผนลดต้นทุน เปลี่ยนสินค้า ปรับกลุ่มลูกค้า หรือหาคู่ค้าใหม่ เพื่อให้เจ้าหนี้เชื่อว่าคุณไม่ได้แค่ "ขอผ่อนหนี้" แต่กำลัง "ปรับธุรกิจจริงๆ"
  • ขอรูปแบบช่วยเหลือที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น
    • พักชำระเงินต้น (principal holiday) ชั่วคราว
    • ลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรก แล้วค่อยขยับขึ้นภายหลัง
    • ยืดอายุหนี้ให้ค่างวดลดลงให้สอดคล้องกับกระแสเงินสด
    • พิจารณาแปลงหนี้บางส่วนเป็นทุนหรือหุ้นบุริมสิทธิในกรณีที่ธุรกิจมีศักยภาพเติบโต
  • บันทึกทุกข้อเสนอ-ข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนภายหลัง และให้ทนายสามารถตรวจสอบผลกระทบทางกฎหมายได้

2.3 แผนฟื้นฟู (เชิงเนื้อหา) ควรมีอะไรบ้าง

แม้จะยังไม่ยื่นฟื้นฟูกิจการต่อศาล การทำ "แผนฟื้นฟูแบบย่อ" ไว้ใช้ในการเจรจาก็ช่วยเพิ่มน้ำหนักอย่างมาก เนื้อหาหลักๆ ควรมี

  1. ภาพรวมธุรกิจ: สินค้า/บริการ กลุ่มลูกค้า จุดเด่นทางการแข่งขัน และสาเหตุที่รายได้ลดลง
  2. วิเคราะห์ปัญหา: ปัญหาที่ควบคุมได้ (บริหารจัดการ ต้นทุน) และควบคุมไม่ได้ (สถานการณ์เศรษฐกิจ โควิด ฯลฯ)
  3. แผนแก้ไขเชิงปฏิบัติ: สิ่งที่จะลงมือทำภายใน 3-24 เดือน เช่น ปรับโครงสร้างองค์กร ลดต้นทุน ปรับไลน์สินค้า
  4. ประมาณการกระแสเงินสด และความสามารถในการจ่ายหนี้ตามข้อเสนอใหม่
  5. ตารางชำระหนี้ใหม่ที่เสนอ: ระบุยอดต่องวด ระยะเวลา และสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณ

คำถามติดตามที่อาจมี

  • กรณีที่เจ้าหนี้ปฏิเสธแผนปรับโครงสร้างหนี้ทุกแบบ ควรทำอย่างไรต่อ
  • การจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ทำแผนเอกชนก่อนยื่นศาล มีค่าใช้จ่ายและข้อดีข้อเสียอย่างไร
  • ควรเจรจากับเจ้าหนี้ทุกรายพร้อมกัน หรือเริ่มจากรายใหญ่ก่อนดี

3. เอกสารการเงินและกฎหมายที่ต้องเตรียมสำหรับทนายความ

การเตรียมเอกสารครบถ้วนตั้งแต่ต้นช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายของคุณเอง เพราะทนายและที่ปรึกษาจะสามารถประเมินโอกาสฟื้นฟู วางกลยุทธ์การเจรจา และตัดสินใจได้ว่าควรใช้ช่องทางนอกศาลหรือในศาลอย่างไร

ให้คิดง่ายๆ ว่า "เอกสาร = ความน่าเชื่อถือ" ของ SME ต่อทั้งศาลและเจ้าหนี้ ยิ่งข้อมูลชัดและโปร่งใสมากเท่าไร โอกาสได้รับความร่วมมือก็ยิ่งสูง

3.1 รายการเอกสารด้านการเงิน

อย่างน้อยควรเตรียม

  • งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี (งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด หากมี)
  • แบบแสดงรายการภาษี (ภ.พ.30, ภ.ง.ด.) อย่างน้อย 1-3 ปีย้อนหลัง เพื่อสะท้อนภาพรายได้จริง
  • รายการเดินบัญชีธนาคาร (bank statement) ทุกบัญชีของธุรกิจและบัญชีหลักของผู้ถือหุ้นสำคัญ 6-12 เดือนย้อนหลัง
  • บัญชีเจ้าหนี้-ลูกหนี้การค้า แยกอายุหนี้ (aging) เพื่อดูว่าเงินจมอยู่ตรงไหน
  • ทะเบียนทรัพย์สินสำคัญ: ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ ทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ พร้อมหลักฐานการจดทะเบียน
  • สัญญาเงินกู้และเอกสารจำนอง/จำนำ/ค้ำประกัน ทั้งกับธนาคาร สถาบันการเงิน และบุคคลธรรมดา

3.2 เอกสารทางกฎหมายและโครงสร้างธุรกิจ

ทนายต้องเห็นโครงสร้างนิติบุคคลและข้อผูกพันทางกฎหมายทั้งหมด จึงควรเตรียม

  • เอกสารจดทะเบียนบริษัท/ห้างหุ้นส่วน: หนังสือรับรอง, วัตถุประสงค์, ผู้ถือหุ้น, กรรมการ
  • ข้อบังคับบริษัท (ถ้ามี) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นที่มีเงื่อนไขพิเศษ
  • สัญญาเช่าที่ดิน/อาคาร สัญญาแฟรนไชส์ สัญญาร่วมลงทุน หรือข้อตกลงสำคัญกับคู่ค้า
  • รายการคดีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด: คดีแพ่ง คดีแรงงาน คดีภาษีอากร คดีล้มละลาย/บังคับคดีที่ค้างอยู่
  • หนังสือทวงถาม ฟ้อง หรือคำบอกกล่าวจากเจ้าหนี้ ที่บ่งชี้ว่าหนี้ใกล้จะถึงขั้นฟ้องหรือบังคับคดี

3.3 เอกสารเพิ่มเติมสำหรับการยื่นฟื้นฟูกิจการในศาล

หากทนายเห็นว่าควรใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาล จะต้องมีเอกสารสำหรับยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง รวมถึงการวางเงินประกันและค่าใช้จ่ายตามที่ศาลกำหนด เช่น ค่าขึ้นศาลและเงินประกันค่าธรรมเนียมบางส่วนที่แนวทางกรมบังคับคดีระบุไว้ประมาณหลายหมื่นบาทขึ้นไป(led.go.th)

ส่วนรายละเอียดและแบบฟอร์มล่าสุดสามารถตรวจดูได้จากเอกสารและอินโฟกราฟิกของกรมบังคับคดี เช่น แผนภูมิ "ขั้นตอนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้" และคู่มือติดต่อราชการของกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ซึ่งอัปเดตอยู่บนเว็บไซต์ของกรมบังคับคดี(led.go.th)

คำถามติดตามที่อาจมี

  • ถ้างบการเงินไม่เรียบร้อย หรือไม่เคยทำงบอย่างเป็นทางการเลย ยังสามารถฟื้นฟูกิจการได้หรือไม่
  • ต้องให้ทนายเซ็นรับรองหรือให้นักบัญชีรับรองเอกสารการเงินระดับไหนก่อนยื่นศาล
  • จะปกป้องข้อมูลส่วนตัว/ข้อมูลเชิงพาณิชย์สำคัญอย่างไรเมื่อต้องส่งเอกสารให้เจ้าหนี้และศาล

4. บทบาทของศาลและผู้ทำแผนฟื้นฟู (Restructuring Advisor)

ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการแบบในศาล ศาลล้มละลายกลางจะเป็นผู้กลั่นกรองว่ากิจการนั้น "ควรฟื้นฟูหรือไม่" และกำหนดให้มีผู้ทำแผนกับผู้บริหารแผนเข้ามาช่วยพลิกธุรกิจ ในขณะที่กรมบังคับคดีทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามแผนและจัดประชุมเจ้าหนี้

สำหรับ SME การเลือกผู้ทำแผน/ที่ปรึกษาที่เข้าใจทั้งธุรกิจและกฎหมายล้มละลายเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย เพราะแผนต้อง "ขายได้" ทั้งต่อศาลและต่อเจ้าหนี้ ไม่ใช่แค่แผนที่ดีบนกระดาษแต่ปฏิบัติจริงไม่ได้

4.1 บทบาทของศาลล้มละลายกลาง

ศาลล้มละลายกลางมีบทบาทสำคัญหลายประการ ได้แก่

  • รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและตรวจสอบเบื้องต้นว่าลูกหนี้เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายหรือไม่
  • เมื่อเห็นว่ามีมูล ศาลจะมีคำสั่งรับคำร้อง ซึ่งทำให้เกิด "สภาวะพักคดี" หยุดฟ้อง-หยุดบังคับคดีชั่วคราว และนัดไต่สวนว่าควรให้ฟื้นฟูหรือไม่(thairath.co.th)
  • หากศาลเห็นว่าลูกหนี้มีช่องทางฟื้นฟูกิจการ จะมีคำสั่งให้ฟื้นฟูและตั้งผู้ทำแผน หรือให้เจ้าหนี้เสนอชื่อผู้ทำแผน
  • หลังจากเจ้าหนี้ลงมติรับรองแผนแล้ว ศาลจะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะแสดงความเห็นชอบด้วยแผนหรือไม่ โดยพิจารณาความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและความเป็นไปได้ของแผน(deka.in.th)

4.2 บทบาทของกรมบังคับคดีและกองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้

กรมบังคับคดีมีภารกิจโดยตรงในการบังคับคดีล้มละลายและกำกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ทั้งในด้านการรวบรวมทรัพย์สิน การจัดประชุมเจ้าหนี้ และการกำกับให้ผู้บริหารแผนปฏิบัติตามแผนที่ศาลเห็นชอบแล้ว(moj.go.th)

กองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ของกรมบังคับคดีเป็นหน่วยงานหลักที่ SME จะต้องติดต่อเมื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู เช่น การนัดประชุมเจ้าหนี้ การรายงานผลการดำเนินการตามแผน และการขอคำแนะนำเรื่องขั้นตอนและแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง

4.3 ผู้ทำแผนฟื้นฟู (และผู้บริหารแผน)

ผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนเปรียบเสมือน "หัวหน้าทีมฟื้นฟู" ที่ทำงานร่วมกับผู้บริหารเดิมของกิจการ โดยมีหน้าที่หลัก ได้แก่

  • จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการอย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน โครงสร้างหนี้ การดำเนินธุรกิจ และการบริหารจัดการ
  • เจรจากับกลุ่มเจ้าหนี้ต่างๆ เพื่อให้เห็นด้วยกับแผนและลงมติรับรอง
  • เมื่าศาลเห็นชอบแผนแล้ว ผู้บริหารแผนต้องดำเนินธุรกิจและจัดการชำระหนี้ตามแผน พร้อมรายงานความคืบหน้าแก่ศาลและกรมบังคับคดีในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

ในเชิงปฏิบัติ ผู้ทำแผนมักเป็นทีมผสมระหว่างทนายความ นักบัญชี/ที่ปรึกษาการเงิน และคนที่เข้าใจธุรกิจเฉพาะด้านของลูกหนี้ เพื่อให้ทั้งมุมกฎหมายและมุมธุรกิจเดินไปด้วยกันได้จริง

คำถามติดตามที่อาจมี

  • SME สามารถเสนอให้ผู้บริหารเดิมเป็นผู้ทำแผน/ผู้บริหารแผนได้หรือไม่
  • ค่าตอบแทนของผู้ทำแผน/ผู้บริหารแผนปกติคิดอย่างไร และตกลงกับเจ้าหนี้อย่างไร
  • ถ้าแผนฟื้นฟูไม่เป็นไปตามเป้า จะถูกเปลี่ยนผู้บริหารแผนหรือถูกยกเลิกแผนอย่างไร

5. คำแนะนำปฏิบัติสำหรับการประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษาการดำเนินธุรกิจ

เป้าหมายของการฟื้นฟูกิจการ SME ไม่ใช่แค่ "รอดคดี" แต่คือ "รอดธุรกิจ" ด้วย ดังนั้นระหว่างการเจรจาและ/หรืออยู่ในกระบวนการศาล คุณต้องจัดการทั้งฝั่งกฎหมายและฝั่งปฏิบัติการไปพร้อมกัน

ยิ่งลงมือเร็วเท่าไร ตัวเลือกที่เหลืออยู่มักจะมากขึ้นเท่านั้น เพราะทรัพย์สินยังไม่ถูกบังคับขาย ลูกค้ายังไม่หายหมด และทีมงานสำคัญยังพร้อมเดินไปด้วยกัน

5.1 กลยุทธ์ลดค่าใช้จ่ายอย่างไม่ทำลายธุรกิจ

  • แยก "ค่าใช้จ่ายจำเป็น" กับ "ค่าใช้จ่ายที่ตัดได้"
    • จำเป็น: เงินเดือนทีมหลักที่ทำให้ธุรกิจเดินได้ ค่าเช่าโรงงาน/หน้าร้านที่ไม่มีทางทดแทนง่ายๆ ค่าใช้จ่ายด้านคุณภาพ/ความปลอดภัย
    • ตัดหรือเลื่อนได้: ค่าเช่าพื้นที่ส่วนเกิน การตลาดที่ไม่วัดผล สวัสดิการบางอย่างที่ปรับรูปแบบได้ ฯลฯ
  • เจรจากับผู้ให้เช่า/คู่ค้าหลัก
    • ขอลดค่าเช่าชั่วคราว แลกกับการขยายสัญญาเช่า หรือการปรับรูปแบบพื้นที่ใช้สอย
    • ตกลงเงื่อนไขการชำระเงินใหม่กับซัพพลายเออร์ที่สำคัญ เพื่อรักษาซัพพลายเชนไม่ให้สะดุด
  • ทบทวนสินค้า/บริการที่สร้างกำไรจริง
    • โฟกัสเฉพาะสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นดี และหมุนเงินเร็ว
    • หยุดหรือลดการผลิตสินค้าที่ขายยาก กำไรต่ำ แต่ใช้เงินทุนสูง

5.2 การรักษากระแสเงินสดระหว่างฟื้นฟู

  • จัดทำ cash flow รายสัปดาห์/รายเดือนอย่างต่อเนื่อง ปรับสมมติฐานให้ใกล้เคียงความจริง
  • จัดลำดับความสำคัญของการจ่ายเงิน: ค่าจ้างพนักงานหลัก ภาษีที่เสี่ยงถูกปรับหนัก ค่าใช้จ่ายที่หากไม่จ่ายจะทำให้ธุรกิจหยุดเดิน
  • สำรวจโครงการช่วยเหลือจากรัฐ/สถาบันการเงิน เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ SME โครงการค้ำประกันสินเชื่อ หรือโครงการพิเศษที่ออกมาในช่วงเศรษฐกิจถดถอย(thestandard.co)

5.3 การสื่อสารกับพนักงานและคู่ค้า

ในช่วงฟื้นฟู "ความไว้วางใจ" สำคัญไม่แพ้เงินทุน

  • สื่อสารสถานการณ์จริงกับทีมแกนหลัก (core team) ให้เข้าใจทิศทางและแผนฟื้นฟู เพื่อให้ร่วมมือกันประหยัดและปรับตัว
  • อธิบายให้คู่ค้าหลักเข้าใจว่าการเจรจาหนี้/ฟื้นฟูมีเป้าหมายเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ระยะยาวและยังเป็นลูกค้าของเขาต่อไป
  • หลีกเลี่ยงการสร้างภาระหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะหนี้นอกระบบหรือหนี้ดอกเบี้ยสูง

คำถามติดตามที่อาจมี

  • ควรถอดสินทรัพย์บางส่วนออกจากธุรกิจ (ขาย/โอน) ก่อนยื่นฟื้นฟูหรือไม่ และมีความเสี่ยงอะไร
  • จะสร้างแรงจูงใจให้ทีมหลักอยู่สู้ไปกับธุรกิจได้อย่างไรเมื่อบริษัทต้องลดค่าใช้จ่าย
  • กรณีต้องหยุดบางกิจการชั่วคราว มีผลอย่างไรต่อสัญญาเช่าและสัญญาจ้างงาน

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการ SME

การเข้าใจภาพผิดทำให้หลาย SME ตัดสินใจช้าเกินไปหรือเลือกทางที่เสียหายเกินจำเป็น ต่อไปนี้คือความเชื่อผิดๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง

  • เข้าใจว่าฟื้นฟูกิจการ = ล้มละลาย
    จริงๆ แล้ว การฟื้นฟูกิจการเป็นกลไก "กันไม่ให้ต้องล้มละลาย" แม้จะอยู่ในพระราชบัญญัติล้มละลาย แต่เป้าหมายคือรักษาธุรกิจและจัดโครงสร้างหนี้ใหม่ ไม่ใช่ปิดกิจการ
  • คิดว่าต้องรอเจ้าหนี้ฟ้องก่อนจึงขอฟื้นฟูได้
    ในหลายกรณี ลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคลหรือ SME ที่เข้าเกณฑ์สามารถยื่นคำร้องขอฟื้นฟูด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่าสภาพคล่องเริ่มมีปัญหาและมีช่องทางฟื้นตัว ไม่ต้องรอให้ถูกฟ้องล้มละลายก่อน
  • กลัวว่าเปิดเอกสารการเงินแล้วจะ "เสียเปรียบ" เสมอ
    ความโปร่งใสด้านตัวเลขเป็นข้อได้เปรียบในการขอฟื้นฟูมากกว่า เพราะศาลและเจ้าหนี้จะมองเห็นศักยภาพที่แท้จริงและเชื่อมั่นแผนที่เสนอ มากกว่าธุรกิจที่ปิดข้อมูลและขาดงบการเงินที่น่าเชื่อถือ

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการ SME ก่อนล้มละลาย

ถ้าธุรกิจยังมีทรัพย์สินไม่มาก แต่มีหนี้เกิน 3 ล้านบาท ควรเริ่มจากอะไร

เริ่มจากจัดทำภาพรวมทรัพย์สินและหนี้สินให้ชัดเจน จากนั้นปรึกษาทนายและนักบัญชีเพื่อประเมินว่าเจรจานอกศาลเพียงพอหรือควรเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู SME ในศาล หากยังมีกระแสเงินสดและโมเดลธุรกิจที่ดี การฟื้นฟูมักดีกว่าปล่อยให้ถูกฟ้องล้มละลายทีละคดี

ใช้เวลากี่เดือนกว่าศาลจะสั่งฟื้นฟูกิจการและเห็นชอบแผน

ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของธุรกิจและจำนวนเจ้าหนี้ แต่โดยทั่วไป การยื่นคำร้อง ไต่สวน และจัดทำแผนมักใช้เวลาเป็นหลายเดือนถึงมากกว่าหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม "สภาวะพักคดี" จะเริ่มทันทีเมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้อง ซึ่งช่วยให้คุณหยุดแรงกดดันจากคดีต่างๆ ชั่วคราว

การฟื้นฟูกิจการช่วยล้างหนี้ผู้ค้ำประกันด้วยหรือไม่

โดยหลักทั่วไป คำสั่งศาลที่เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการมีผลผูกพันเฉพาะตัวลูกหนี้ที่อยู่ในแผนเท่านั้น ความรับผิดของผู้ค้ำประกันหรือผู้ร่วมรับผิดยังคงเป็นไปตามกฎหมายแพ่งเว้นแต่จะมีการเจรจาเงื่อนไขใหม่โดยเฉพาะ จึงควรให้ทนายตรวจสัญญาค้ำประกันและวางกลยุทธ์ควบคู่กันไป

ถ้างบการเงินไม่เคยตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี จะยื่นฟื้นฟูได้หรือไม่

ยังสามารถขอฟื้นฟูได้ แต่จะทำให้ศาลและเจ้าหนี้ตั้งคำถามมากขึ้น คุณควรให้ผู้เชี่ยวชาญบัญชีช่วยจัดทำ/ปรับปรุงงบให้สะท้อนสถานะจริง และเตรียมคำอธิบายเหตุผลว่าทำไมงบที่ผ่านมาไม่สมบูรณ์

ระหว่างเจรจาหนี้ จำเป็นต้องหยุดจ่ายหนี้ทุกเจ้าหนี้หรือไม่

ไม่จำเป็น และมักไม่ควรหยุดจ่ายทั้งหมด คุณควรจัดลำดับความสำคัญว่าเจ้าหนี้รายใดจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจและควรชำระต่อเนื่อง ในขณะที่รายใดควรเข้าไปเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้ก่อน เพื่อไม่ให้กระแสเงินสดหยุดชะงักโดยไม่จำเป็น

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความ

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าคุณควรจ้างทนายเพื่อดูเรื่องฟื้นฟูกิจการและล้มละลายอย่างจริงจัง ได้แก่

  • ได้รับหมายศาล/คำบอกกล่าวบังคับคดีจากเจ้าหนี้มากกว่า 1 ราย
  • เริ่มมีหนี้ค้างชำระหลายเดือนและไม่สามารถชำระขั้นต่ำได้อย่างต่อเนื่อง
  • เจ้าหนี้สำคัญ (เช่น ธนาคาร) ปฏิเสธเงื่อนไขปรับโครงสร้างหนี้เบื้องต้นที่คุณยื่นเสนอ
  • ต้องการวางแผนใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาล แต่ไม่แน่ใจว่าเข้าเกณฑ์กฎหมายหรือไม่

ทนายความที่มีประสบการณ์ด้านล้มละลายและฟื้นฟู SME จะช่วยคุณ:

  • ประเมินความเสี่ยงทางกฎหมายของแต่ละทางเลือก (เจรจา-ฟื้นฟู-ล้มละลาย)
  • เตรียมเอกสารและร่างโครงสร้างแผนฟื้นฟูให้สอดคล้องกับกฎหมายและคำนึงถึงผลต่อกรรมการ/ผู้ค้ำประกัน
  • เจรจาแทนคุณกับธนาคารและเจ้าหนี้รายใหญ่ เพื่อลดอารมณ์และโฟกัสที่ตัวเลขและข้อกฎหมาย

ขั้นตอนต่อไปสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่กำลัง "เงินตึงมือ"

ถ้าวันนี้คุณเริ่มรู้สึกว่ากำลัง "หมุนเงินไม่ทัน" ให้ลองใช้ลำดับขั้นตอนนี้เป็น Checklist

  1. จดทุกหนี้และทุกเจ้าหนี้ พร้อมยอดดอกเบี้ยและสถานะคดีให้ครบ
  2. ทำประมาณการกระแสเงินสด 6-12 เดือนแบบซื่อสัตย์ต่อความเป็นจริง
  3. ประชุมทีมบริหาร/ทีมการเงินเพื่อกำหนดกลยุทธ์ลดค่าใช้จ่ายและโฟกัสธุรกิจหลัก
  4. ปรึกษาทนายและที่ปรึกษาทางการเงินเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเจรจานอกศาลและ/หรือการฟื้นฟูกิจการในศาล
  5. เริ่มเจรจากับเจ้าหนี้สำคัญเชิงรุก โดยมีข้อมูลและแผนฟื้นฟูเบื้องต้นในมือ
  6. หากมีแนวโน้มต้องใช้กระบวนการฟื้นฟู SME ในศาล เตรียมเอกสารและงบการเงินให้พร้อมโดยเร็ว

การฟื้นฟูกิจการไม่ใช่เรื่องของ "การยอมแพ้" แต่เป็นการยอมรับความจริงและใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดระเบียบใหม่ให้ธุรกิจกลับมายืนได้อย่างยั่งยืน ยิ่งคุณเริ่มต้นเร็วและขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเร็วเท่าไร โอกาสรอดของกิจการก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

สำหรับข้อมูลขั้นตอนล่าสุดของคดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ สามารถดูอินโฟกราฟิกและคู่มือจากกรมบังคับคดีได้ที่ เว็บไซต์กรมบังคับคดี และช่องทางติดต่อบริการคดีล้มละลายและฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จากกระทรวงยุติธรรมที่ เว็บไซต์กระทรวงยุติธรรม ก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SPECTER CK & PARTNERS Logo
SPECTER CK & PARTNERS
นนทบุรี
ตั้งแต่ปี 1998
ทนายความ 20 คน
ฟรี 1 hour
ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า การย้ายถิ่นฐาน +1 เพิ่มเติม
โทรเลย
The Law Society Co.Ltd. Logo
The Law Society Co.Ltd.
ภูเก็ต
ตั้งแต่ปี 2006
ทนายความ 22 คน
ธนาคารและการเงิน คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ +1 เพิ่มเติม
โทรเลย
Anona International And Consultancy Co.,  Ltd. Logo
Anona International And Consultancy Co., Ltd.
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2020
ทนายความ 10 คน
ฟรี 1 hour
ธนาคารและการเงิน การย้ายถิ่นฐาน สิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม