- ดีล Private Equity (PE) ในไทยนิยมใช้โครงสร้างหลายแบบ เช่น บริษัทร่วมลงทุน (SPV), private fund ภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ และ Private Equity Trust ภายใต้กฎหมายทรัสต์ เพื่อให้เหมาะกับประเภทนักลงทุนและข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ
- นักลงทุนต่างชาติต้องระวังข้อจำกัดภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (Foreign Business Act) ข้อห้ามถือครองที่ดิน และกฎควบคุมเงินตราต่างประเทศ ซึ่งกระทบต่อสัดส่วนถือหุ้นและโครงสร้างดีล
- กองทุนและโครงสร้าง PE ที่อยู่ภายใต้สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูล การกำกับดูแล และ fiduciary duty ของผู้จัดการกองทุน/ทรัสตีอย่างเคร่งครัด
- การจัดการความเสี่ยงก่อนปิดดีล (due diligence) ในไทยควรโฟกัสเป็นพิเศษที่ FBA, ภาษี, ที่ดินและใบอนุญาตธุรกิจ พร้อมสะท้อนความเสี่ยงเหล่านี้ในเงื่อนไขสำคัญของ SPA เช่น condition precedent, warranty, indemnity และ price adjustment
- กลยุทธ์ออกจากการลงทุนที่ใช้บ่อยในไทย ได้แก่ การขายให้ strategic buyer, secondary sale, IPO และ buyback โดยแต่ละแบบมีผลทางภาษีต่างกัน ทั้งในระดับบริษัทไทย (CIT 20%) และนักลงทุนต่างชาติ (withholding tax)
- การทำดีล PE ในไทยที่ปลอดภัยและคุ้มภาษี มักต้องใช้ทีมที่ปรึกษาไทยทั้งด้านกฎหมาย ภาษี และการลงทุน เพื่อออกแบบโครงสร้างที่สอดคล้องกับกฎหมายท้องถิ่นและเป้าหมายของนักลงทุน
จุดประสงค์ของบทความนี้คือ "เข้าใจ + ลงมือทำ (Know + Do)" สำหรับนักลงทุนและกองทุน Private Equity (กลุ่ม B2B) ที่ต้องการวางโครงสร้างดีลในประเทศไทย ทั้งในมิติข้อกำกับดูแล (regulatory), ภาษี และกลยุทธ์การเข้า-ออกการลงทุน
Private Equity ในไทยคืออะไร และกรอบกฎหมายหลักเกี่ยวข้องอะไรบ้าง?
Private Equity ในไทยหมายถึงการลงทุนในหลักทรัพย์/กิจการที่ไม่ได้จดทะเบียน (หรือจดทะเบียนแต่ใช้โครงสร้างเฉพาะ) โดยมีวัตถุประสงค์สร้างมูลค่าและออกจากการลงทุนในระยะกลาง-ยาว ผ่านการขายหรือ IPO. ในไทย PE ไม่ได้มีกฎหมายฉบับเดียวควบคุม แต่กระจายอยู่ในกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดทุน, กฎหมายทรัสต์สำหรับธุรกรรมในตลาดทุน, กฎหมายธุรกิจของคนต่างด้าว, กฎหมายภาษี และกฎหมายบริษัท.
ในทางปฏิบัติ ดีล PE ในไทยต้องมอง "ชั้นกฎหมาย" หลักๆ ดังนี้
- ระดับกองทุน/โครงสร้างการระดมทุน
- Securities and Exchange Act B.E. 2535 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดูหมวดเกี่ยวกับ private fund, กองทุนรวม, และการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อผู้ลงทุนสถาบัน/เฉพาะเจาะจง(sec.or.th)
- Trust for Transactions in Capital Market Act B.E. 2550 สำหรับโครงสร้าง Private Equity Trust ที่ใช้ทรัสตีและอยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.(thailawyers.com)
- ระดับกิจการเป้าหมาย (portfolio company)
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (บริษัทจำกัด) และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ถ้าเป็นบริษัทจดทะเบียน)
- Foreign Business Act B.E. 2542 (FBA) ซึ่งกำหนดนิยาม "คนต่างด้าว" และจำกัดกิจการบางประเภทธุรกิจ (เช่น บริการ, ค้าปลีก, สื่อ, ทรัพยากรธรรมชาติ) สำหรับนักลงทุนต่างชาติ(investmentpolicy.unctad.org)
- กฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจการเงิน, ประกันภัย, โทรคมนาคม, พลังงาน ฯลฯ
- ระดับภาษีและเงินตราต่างประเทศ
- ประมวลรัษฎากร: ภาษีนิติบุคคล 20% บนกำไร, ภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับดอกเบี้ย, เงินปันผล, ค่าบริการ และกำไรจากการโอนหุ้นบางประเภท(rd.go.th)
- กฎควบคุมเงินตราต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) สำหรับการนำเงินเข้า-ออกประเทศ การกู้ยืมข้ามแดน และการชำระเงินเป็นเงินตราต่างประเทศ
ผลคือ การออกแบบโครงสร้าง PE ในไทยมักต้อง "วางซ้อนหลายชั้น" (fund vehicle, holding company, SPV, trust) เพื่อให้ตอบโจทย์นักลงทุนสากล ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับข้อจำกัดของกฎหมายไทย
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- ควรตั้งกองทุน/vehicle ที่ไทยหรือ offshore (เช่น สิงคโปร์) แล้วเข้ามาลงทุนผ่าน SPV ไทย แบบไหนดีกว่ากัน?
- กองทุนแบบใดในไทยที่สามารถระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ได้โดยไม่ต้องทำ public offering เต็มรูปแบบ?
รูปแบบโครงสร้างทางธุรกิจที่นิยมสำหรับ Private Equity ในไทยมีอะไรบ้าง?
โครงสร้าง PE ในไทยที่ใช้บ่อย ได้แก่ บริษัทจำกัดไทยแบบ SPV, โครงสร้าง holding-operating company, private fund ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. และ Private Equity Trust ภายใต้กฎหมายทรัสต์ตลาดทุน. การเลือกใช้ขึ้นกับว่ากองทุนต้องการนักลงทุนกลุ่มใด (สถาบัน/รายใหญ่), ระดับการกำกับดูแลที่ยอมรับได้ และข้อจำกัดของกฎหมายคนต่างด้าว.
โครงสร้างที่พบมากในตลาดมีเช่น
- Thai SPV (บริษัทจำกัดไทย) ถือหุ้นในกิจการเป้าหมาย
- นักลงทุนต่างชาติถือหุ้น SPV ตรง หรือผ่าน holding company ต่างประเทศ
- ข้อดี: ยืดหยุ่น, เข้าใจง่ายสำหรับเจ้าของกิจการไทย, ใช้ได้ดีกับดีล buyout หรือ growth capital
- ข้อควรระวัง: หากกิจการเป้าหมายทำธุรกิจอยู่ใน List 2 หรือ List 3 ภายใต้ FBA ต้องคุมสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวไม่เกิน 49% หรือขอ Foreign Business License (FBL) หรือใบอนุญาตอื่นที่เกี่ยวข้อง
- Holding company + Operating company
- ตั้ง holding company (ไทยหรือ offshore) ถือหุ้นใน operating company (Thai OpCo) หลายแห่ง
- ใช้สำหรับ platform investment หรือ roll-up strategy ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- ช่วยบริหาร cap table และ exit ง่ายขึ้น เพราะขายระดับ holding company ได้
- Private fund ภายใต้ Securities and Exchange Act
- กองทุนส่วนบุคคลบริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ภายใต้การอนุญาตของ ก.ล.ต.(sec.or.th)
- เหมาะกับนักลงทุนสถาบัน/รายใหญ่มาก (high-net-worth, UHNWI) ที่ต้องการให้มืออาชีพบริหาร
- มีข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูล, การรายงาน, และการแยกทรัพย์สินค่อนข้างเข้ม
- Private Equity Trust
- ใช้โครงสร้างทรัสต์ภายใต้ Trust for Transactions in Capital Market Act B.E. 2550 โดยมี "ทรัสตี" ซึ่งมักเป็นสถาบันการเงินได้รับอนุมัติจาก ก.ล.ต.(thailawyers.com)
- ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน real estate PE และกองทุนส่งเสริม SME/เทคโนโลยี เนื่องจากให้กรอบกำกับดูแลชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนสถาบัน(jade.partners)
- นักลงทุนถือหน่วยทรัสต์ แทนที่จะถือหุ้นใน SPV โดยตรง ทำให้มีกลไกกำกับดูแลและการรายงานตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต.
- Offshore fund + Thai SPV
- ตั้งกองทุนหรือ partnership ในศูนย์การเงินต่างประเทศ (เช่น สิงคโปร์) ระดมเงินจากนักลงทุนต่างประเทศ แล้วตั้ง SPV ไทยเข้าถือหุ้นกิจการในไทย
- ข้อดี: สอดคล้องกับความคุ้นเคยของ LP ต่างชาติ (เช่น limited partnership), บริหารภาษีข้ามแดนได้ยืดหยุ่น
- ข้อจำกัด: ต้องจัดการภาษีซ้อน (treaty), กฎควบคุมเงินตราต่างประเทศ และเอกสารธุรกรรมข้ามแดนที่ซับซ้อนขึ้น
ในเชิงกลยุทธ์ กองทุนมักใช้โครงสร้างผสม เช่น Offshore master fund + Thai trust หรือ Thai SPV เพื่อตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนต่างชาติและข้อจำกัดกฎหมายไทยไปพร้อมกัน
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- ระหว่าง private fund กับ Private Equity Trust แบบใดมีต้นทุนกำกับดูแลและการเปิดเผยข้อมูลต่ำกว่า?
- ถ้าต้องการลงทุนในหลายประเทศ แต่มี exposure สำคัญในไทย ควรตั้ง master fund ที่ไหนดีที่สุด?
ข้อจำกัดการลงทุนของชาวต่างชาติและมาตรการควบคุมในดีล PE ไทยมีอะไรบ้าง?
ข้อจำกัดหลักของนักลงทุนต่างชาติในดีล PE ไทยมักมาจาก Foreign Business Act (FBA), กฎหมายที่ดิน และกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรม. กุญแจสำคัญคือการวิเคราะห์ว่าหลังดีลแล้ว โครงสร้างถือหุ้นของบริษัทเป้าหมายจะถูกมองว่าเป็น "นิติบุคคลต่างด้าว" ตาม FBA หรือไม่ และธุรกิจนั้นอยู่ในบัญชีห้าม/จำกัดของ FBA หรือกฎหมายอื่นหรือไม่.
ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่
- นิยาม "คนต่างด้าว" ตาม FBA
- ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาต่างชาติ บริษัทต่างประเทศ และบริษัทไทยที่มีคนต่างด้าวถือหุ้นตั้งแต่ 50% ขึ้นไป (โดยทุนหรือลงคะแนนเสียง)(investmentpolicy.unctad.org)
- หากบริษัทเป้าหมายกลายเป็น "คนต่างด้าว" หลังดีล แต่ทำธุรกิจในบัญชี List 2 หรือ List 3 จะต้องมีใบอนุญาตหรือได้รับยกเว้นตามกฎหมาย
- รายการธุรกิจต้องห้าม/จำกัด
- List 1: ห้ามคนต่างด้าวประกอบโดยเด็ดขาด (เช่น สื่อ, ค้าขายที่ดิน, งานศิลปวัฒนธรรมบางประเภท)
- List 2 และ 3: ประกอบได้หากได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีหรืออธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และอาจต้องมีผู้ถือหุ้นไทยถือหุ้นส่วนใหญ่(thailawforum.com)
- ธุรกิจบริการกว้างๆ มักเข้าข่าย List 3 ทำให้ PE deal ใน sector บริการต้องวางโครงสร้างอย่างระมัดระวัง
- ข้อห้าม "nominee"
- FBA ห้ามใช้ "นอมินี" คือคนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติ หากพิสูจน์ได้ว่าคนไทยไม่ได้รับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจริง
- บทลงโทษมีทั้งโทษปรับและจำคุก จึงไม่ควรใช้โครงสร้างที่พึ่งพานอมินี แม้จะดู "common" ในตลาดระดับล่างก็ตาม(en.wikipedia.org)
- ข้อจำกัดในกฎหมายที่ดิน
- คนต่างด้าวโดยทั่วไปห้ามถือครองที่ดิน ยกเว้นกรณีพิเศษ (เช่น BOI, เขตนิคมอุตสาหกรรม, สนธิสัญญาบางประเภท)
- ดีล PE ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์/ที่ดินต้องตรวจสอบโครงสร้างการถือครองอย่างละเอียด และพิจารณาทางเลือกเช่น long lease หรือโครงสร้างทรัสต์
- ช่องทางผ่อนปรนข้อจำกัด
- ขอ Foreign Business License (FBL) หรือใบอนุญาตเฉพาะภายใต้กฎหมายสาขา
- ขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพื่อได้สิทธิถือหุ้นต่างด้าวเกิน 49% และสิทธิภาษีบางประการ
- อาศัยสนธิสัญญาบางฉบับ เช่น US-Thai Treaty of Amity (กรณีผู้ลงทุนสัญชาติสหรัฐฯ) ในบางกิจการ
สำหรับกองทุนต่างชาติ การวางแผนตั้งแต่ต้นว่า "ใครจะถือหุ้นอะไร ในนิติบุคคลใด" มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการแก้โครงสร้างภายหลังมักนำไปสู่ต้นทุนภาษีและความเสี่ยงด้านการบังคับใช้กฎหมายที่สูงขึ้น
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- ถ้าต้องการ control กิจการที่อยู่ใน List 3 แต่ต้องการเลี่ยงนอมินี มีโครงสร้างอะไรที่ปลอดภัยตามกฎหมายไทยบ้าง?
- ควรขอ BOI ตั้งแต่ก่อนเข้าลงทุน หรือรอให้กิจการเติบโตจึงค่อยขอจะเหมาะกว่า?
ข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลและการกำกับดูแลสำหรับกองทุนและดีล PE ในไทยเป็นอย่างไร?
ข้อกำหนดด้าน disclosure และการกำกับดูแลในดีล PE ไทยจะแตกต่างกันมาก ขึ้นกับว่าเป้าหมายเป็นบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ และโครงสร้างกองทุนอยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. หรือเป็นโครงสร้าง "เอกชน" ล้วน. โดยทั่วไป ยิ่งเข้าใกล้ตลาดทุน (public market/regulated fund) ข้อบังคับก็ยิ่งเข้ม ทั้งในแง่การเปิดเผยข้อมูล, รายงานต่อ regulator และการปกป้องผู้ลงทุน.
ตัวอย่างกรอบสำคัญที่ควรรู้ ได้แก่
- หากลงทุนในบริษัทจดทะเบียน (SET/mai)
- ต้องปฏิบัติตามกฎของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ เช่น กฎ tender offer, การเปิดเผยการถือหุ้นเกิน threshold, กฎเกี่ยวกับรายการที่มีนัยสำคัญของบริษัทจดทะเบียน
- ดีล buyout หรือ acquisition ขนาดใหญ่ต้องยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นรายอื่นตามเกณฑ์ที่กำหนด
- หากเป็นบริษัทจำกัด (private company)
- ไม่มี requirement เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเท่าบริษัทจดทะเบียน แต่ต้องจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เช่น การโอนหุ้น, แก้ไขวัตถุประสงค์, เพิ่มทุน
- เอกสารสำคัญ ได้แก่ ข้อบังคับบริษัท, shareholders' agreement, และมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น/กรรมการ
- ระดับกองทุน/ทรัสต์ภายใต้ ก.ล.ต.
- private fund และ Private Equity Trust ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ออกภายใต้ Securities and Exchange Act และ Trust for Transactions in Capital Market Act เช่น การแยกทรัพย์สิน, การแต่งตั้งทรัสตี/ผู้ดูแลผลประโยชน์, การรายงานต่อ ก.ล.ต., การจัดทำงบการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุน(sec.or.th)
- ผู้จัดการกองทุนและทรัสตีมีหน้าที่ fiduciary duty ต้องบริหารจัดการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และระมัดระวังในระดับผู้เชี่ยวชาญ
- ข้อกำหนด AML/KYC และการป้องกันการฟอกเงิน
- ทั้งสถาบันการเงิน, บริษัทหลักทรัพย์, บลจ., และทรัสตีอยู่ภายใต้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ต้องตรวจสอบตัวตน ultimate beneficial owner (UBO) ของนักลงทุน
- ดีล PE ที่มีโครงสร้างซับซ้อนข้ามประเทศมักถูก scrutinize ด้าน AML/KYC มากเป็นพิเศษ
สำหรับนักลงทุน/กองทุนต่างชาติ การเข้าใจ "ความคาดหวังด้าน governance แบบไทย" เช่น บทบาทกรรมการท้องถิ่น, quorum การประชุม, สิทธิออกเสียงพิเศษ และรูปแบบการรายงานต่อผู้ถือหุ้น จะช่วยลด friction กับผู้ร่วมทุนไทยและหน่วยงานกำกับดูแล
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- หากตั้ง PE Trust ในไทย การรายงานและการเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหน่วยมีความถี่และรายละเอียดใกล้เคียงกองทุนในสหรัฐฯ/ยุโรปหรือไม่?
- ถ้าใช้ private company SPV อย่างเดียว โดยไม่อยู่ภายใต้ ก.ล.ต. ควรออก policy เรื่องรายงานและ governance ภายในอย่างไรเพื่อให้ LP ต่างชาติสบายใจ?
จะจัดการความเสี่ยงก่อนปิดดีล และกำหนดเงื่อนไขสำคัญใน SPA สำหรับดีล PE ในไทยอย่างไร?
การบริหารความเสี่ยงในดีล PE ไทยเริ่มจาก due diligence เชิงลึกที่เน้นกฎหมายเฉพาะของไทย (FBA, ที่ดิน, ภาษี, ใบอนุญาต) แล้วสะท้อนประเด็นเสี่ยงเหล่านี้ใน share purchase agreement (SPA) และเอกสาร ancillary เช่น shareholders' agreement. ดีลที่ดีคือดีลที่ความเสี่ยงทางกฎหมาย-ภาษีถูก "ล็อก" หรือแบ่งปันอย่างชัดเจนระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย.
โฟกัสหลักในการทำ due diligence สำหรับดีล PE ไทยมักมี:
- FBA และสถานะ "คนต่างด้าว"
- ตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบันและโครงสร้างหลังดีล ว่าจะเข้าข่ายคนต่างด้าวหรือไม่
- หากกิจการอยู่ใน List 2 หรือ 3 ต้องตรวจสอบใบอนุญาต/ใบอนุมัติที่มีอยู่และเงื่อนไขแนบท้าย
- ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
- ตรวจเอกสารสิทธิ (โฉนด/น.ส.3ก ฯลฯ), สภาพการครอบครอง, ภาระผูกพันจำนอง/ภาระจำยอม
- หากโครงสร้างถือครองไม่ปกติ (เช่น บริษัทไทยที่อาจเป็น nominee) ต้องประเมินความเสี่ยงการเพิกถอนสิทธิ
- ภาษี
- ตรวจสอบการยื่นภาษีมิติสำคัญ (CIT, VAT, SBT, withholding tax) และประเด็น transfer pricing
- ดูความเสี่ยงภาษีย้อนหลังและโอกาสถูกประเมินเพิ่มเติม พร้อมประเมินมูลค่าความเสี่ยง
- สัญญาหลักและใบอนุญาต
- สัญญาลูกค้ารายใหญ่, สัญญากับ supplier สำคัญ, สัญญาเช่าที่ดิน/อาคาร, สัญญาเงินกู้
- ตรวจใบอนุญาตประกอบธุรกิจต่างๆ (factory license, licenses เฉพาะอุตสาหกรรม, BOI) และข้อจำกัดในการโอนกิจการ/เปลี่ยนผู้ถือหุ้น
- แรงงานและการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน
- ประเมินความเสี่ยงกรณีเลิกจ้าง/ปรับโครงสร้างหลังดีล
- ตรวจทบทวนสิทธิพนักงาน, สหภาพ, ข้อพิพาทแรงงานที่มีอยู่
เมื่อเห็นภาพความเสี่ยงแล้ว จึงนำไปออกแบบโครงสร้าง SPA และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น
- Conditions precedent (CP)
- การได้รับอนุมัติจากหน่วยงานรัฐ (เช่น FBL, BOI, ก.ล.ต. หากเกี่ยวข้อง)
- การปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม (spin-off บางกิจการ, ปิดบริษัทที่ไม่ต้องการ, ปรับโครงสร้างหนี้)
- การแก้ไขสัญญาสำคัญ/consent จาก counterparty
- Representations & warranties
- เน้นเรื่อง compliance กับ FBA, ภาษี, ที่ดิน, ใบอนุญาต และ absence of undisclosed liabilities
- อาจเสริม warranty ทางบัญชี/ภาษีเฉพาะ เช่น ไม่มีการใช้ nominee, ไม่มีการเลี่ยงภาษีที่ขัดต่อกฎหมายไทยอย่างชัดแจ้ง
- Indemnities และ escrow
- กำหนดกลไกชดใช้ความเสียหายสำหรับความเสี่ยงที่ระบุชัดใน DD (known risks) แยกจาก warranty breach
- ใช้ escrow หรือ retention เพื่อกันเงินไว้รองรับความเสี่ยงภาษีย้อนหลังหรือข้อพิพาทที่คาดหมายได้
- Purchase price adjustment
- เลือกระหว่าง completion accounts กับ locked-box โดยพิจารณาคุณภาพบัญชีของกิจการไทยและความพร้อมของทีม finance
- อาจกำหนด earn-out ผูกกับผลการดำเนินงานหลังดีลในตลาดไทย
- Shareholders' agreement และ governance
- กำหนด reserved matters, board composition, veto rights, information rights, anti-dilution, drag/tag-along
- สอดคล้องกับข้อจำกัดของกฎหมายไทย เช่น เรื่อง quorum, การลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
การมีทีมที่ปรึกษาไทยช่วยออกแบบทั้ง DD scope และเอกสารธุรกรรม จะช่วย "translate" ความคาดหวังของ PE ต่างชาติให้กลมกลืนกับกฎหมายและแนวปฏิบัติของศาลไทย
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- กรณีความเสี่ยงภาษีสูง ควรใช้โครงสร้าง price adjustment แบบไหนจึงจะยุติธรรมและ enforceable ในไทย?
- การใช้ W&I insurance ในดีลไทยเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน และมีข้อจำกัดอะไร?
แนวทางการออกจากการลงทุน (exit) ในไทยมีอะไรบ้าง และผลกระทบทางภาษีเป็นอย่างไร?
กลยุทธ์ exit หลักในดีล PE ไทย ได้แก่ trade sale, secondary sale, IPO และการให้บริษัทหรือผู้บริหารซื้อคืน (buyback/MBO). แต่ละแบบมีมิติด้านกฎหมายตลาดทุน, กฎหมายบริษัท และภาษีที่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ขายเป็นนักลงทุนต่างชาติหรือใช้โครงสร้าง holding company ข้ามแดน.
แนวทาง exit ที่ใช้บ่อยในตลาดไทย เช่น
- Trade sale ให้ strategic buyer
- ขายหุ้นให้ผู้เล่นเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมเดียวกัน (ไทยหรือต่างประเทศ)
- มักให้ valuation สูง หากมี synergy ชัดเจน แต่กระบวนการอนุมัติ regulatory อาจซับซ้อน (เช่น competition law, sectoral regulator)
- Secondary sale ให้กองทุน/นักลงทุนการเงินรายอื่น
- ขายหุ้นให้ PE รายอื่น, family office, หรือ institutional investor ที่ต้องการ exposure ในไทย
- โครงสร้างสัญญาใกล้เคียงกับ buyout ปกติ แต่อาจมี negotiation เรื่อง governance ต่อเนื่องมากขึ้น
- IPO บน SET/mai
- ใช้สำหรับกิจการที่ถึงขนาดและมาตรฐานกำกับดูแลตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ (กำไร, ขนาดทุน, free float, track record ฯลฯ)
- PE มักขายหุ้นบางส่วนใน IPO แล้วทยอย exit ผ่านตลาดรองในช่วง lock-up หมด
- Management buyout / Buyback
- ให้ทีมผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นคืน โดยใช้เงินกู้หรือกระแสเงินสดจากกิจการ
- ต้องจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับกฎหมายบริษัทและกฎเรื่อง capital maintenance ของไทย
ในด้านภาษี ประเด็นหลักที่ต้องคำนึง ได้แก่
- ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (capital gains)
- สำหรับบริษัทไทย: กำไรจากการขายหุ้นถือเป็นรายได้ปกติ นำมาคำนวณภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20%(taxsummaries.pwc.com)
- สำหรับบุคคลธรรมดาไทย: ส่วนใหญ่ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องนำไปรวมคำนวณภาษี ยกเว้นการขายหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ผ่านตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับยกเว้นภาษีทุน(taxsummaries.pwc.com)
- สำหรับบริษัทต่างชาติที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจในไทย: โดยหลักมักถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายราว 15% บนกำไรจากการขายหุ้นในไทย เว้นแต่มีข้อยกเว้นตามสนธิสัญญาภาษีซ้อน (DTA) ระหว่างไทยกับประเทศที่บริษัทนั้นอยู่(taxsummaries.pwc.com)
- ภาษีเงินปันผล
- หาก exit ผ่านการรับเงินปันผลก่อนขายหุ้น ต้องพิจารณา WHT 10% สำหรับผู้รับเป็นต่างชาติ และเงื่อนไขการยกเว้น/ลดภาษีภายใต้ DTA หรือกฎยกเว้นเงินปันผลระหว่างบริษัทไทยบางกรณี(rd.go.th)
- โครงสร้าง share deal vs asset deal
- share deal: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงหนี้สินเดิม แต่ผู้ขายมักได้ treatment ภาษีที่ดีกว่า โดยเฉพาะหากเป็นการขายหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาด
- asset deal: ต้นทุนภาษีฝั่งผู้ขายอาจสูงกว่า (ภาษีธุรกิจเฉพาะ, VAT, ภาษีที่ดิน/ค่าธรรมเนียมโอน) แต่ช่วยให้ผู้ซื้อเลือกสินทรัพย์และหนี้สินที่ต้องการได้
- การใช้ holding company ข้ามแดน
- อาจช่วยวางแผนภาษีทุนจากมุมมองของประเทศที่ holding ตั้งอยู่ แต่ต้องระวังการตีความ "substance over form" ทั้งของไทยและประเทศอื่น
เพราะ landscape ภาษีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากกรมสรรพากรไทย (เช่น หน้า Corporate Income Tax และอัตราภาษีล่าสุด) เป็นขั้นตอนที่ควรทำทุกครั้งก่อนปิดดีลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะดีลข้ามแดน(rd.go.th)
คำถามติดตามที่มักเกิดขึ้น
- ระหว่างการขายหุ้นให้ strategic buyer กับ IPO ในไทย แบบไหนมักให้ net proceed หลังภาษีดีกว่าสำหรับกองทุนต่างชาติ?
- หากใช้โครงสร้าง holding company ในประเทศที่มี DTA กับไทย จะลดภาษีได้จริงแค่ไหนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้าน BEPS และ substance?
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Private Equity ในไทย
ดีล PE ในไทยมักเจอ "กับดัก" จากความเข้าใจผิดต่อไปนี้
- คิดว่าถือหุ้นไม่เกิน 49% แล้ว "ปลอดภัยเสมอ" จาก FBA
- แม้สัดส่วนหุ้นต่างด้าวจะต่ำกว่า 50% แต่หากโครงสร้างสิทธิออกเสียงหรือสิทธิทางเศรษฐกิจสะท้อนว่าคนต่างด้าวควบคุมกิจการจริง อาจยังถูกมองว่าเป็น "นิติบุคคลต่างด้าว" ได้
- การออกแบบหุ้นหลายคลาสหรือข้อตกลง voting ที่ซ่อน control ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
- มองข้ามภาษีทุนจากการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ
- หลายกองทุนเข้าใจว่า "ขายหุ้นต่างประเทศให้กันเอง" จะไม่ถูกมองว่าเป็นการขายทรัพย์สินในไทย แต่ในบางกรณีโครงสร้างอาจถูกตีความว่าเกี่ยวพันกับสินทรัพย์ในไทย และถูกเรียกเก็บภาษี
- จึงควรให้ผู้เชี่ยวชาญภาษีวิเคราะห์โครงสร้าง exit แต่ละแบบตั้งแต่ต้น
- คิดว่าทำ SPA ตามแบบสากลแล้วใช้ได้เหมือนกันทุกประเทศ
- มาตราและกลไกบางอย่างใน SPA มาตรฐาน (เช่น certain "liquidated damages", การจำกัดระยะเวลาฟ้องสั้นมาก) อาจขัดกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยหรือแนวคำพิพากษาศาลไทย
- การปรับภาษาสัญญาให้สอดคล้องกับกฎหมายไทยจึงสำคัญไม่น้อยกว่าการเจรจา commercial term
Checklist เชิงปฏิบัติสำหรับนักลงทุน PE ที่จะเข้าทำดีลในไทย
เพื่อให้การวางแผนดีลมีโครงสร้างและลดความเสี่ยง สามารถใช้ checklist ระดับสูงดังนี้
- กำหนดเป้าหมายการลงทุน
- ขนาด ticket ต่อดีล, sector ที่สนใจ, ระยะเวลาถือครอง, ระดับ control ที่ต้องการ (minority vs majority)
- เลือกโครงสร้างกองทุน/vehicle
- Master fund อยู่ที่ไทยหรือ offshore
- ใช้ Thai SPV, Private fund, หรือ Private Equity Trust
- Pre-screen ด้านกฎหมายและภาษี
- ธุรกิจอยู่ใน List ใดของ FBA, มีข้อจำกัดของกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรมหรือไม่
- คาดการณ์รูปแบบ exit เบื้องต้นและผลภาษี
- ออกแบบ term sheet
- กำหนดโครงสร้างราคา, instrument (หุ้น/convertible/MEZZ), governance right, และเงื่อนไข CP หลัก
- ดำเนินการ due diligence และ structuring detail
- กฎหมาย, ภาษี, การเงิน, พาณิชย์, ESG (ถ้ามี)
- ปรับ term sheet และ SPA ตามผล DD
- ขออนุญาต/อนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- BOI, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, กรมที่ดิน, ก.ล.ต., ธปท. (สำหรับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขนาดใหญ่) เป็นต้น
- ปิดดีลและวางระบบ post-closing governance
- จัดทำ reporting package, ปรับโครงสร้างบอร์ด, ตั้ง KPI และ milestone สำหรับ exit
FAQ: คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Private Equity ในไทย
ต้องจดทะเบียนหรือขออนุญาตอะไรบ้างหากจะตั้งกองทุน PE ในไทย?
ถ้าใช้โครงสร้าง private fund หรือ Private Equity Trust กองทุนและผู้จัดการ/ทรัสตีต้องได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ส่วนโครงสร้างแบบบริษัทจำกัด/holding company โดยตัวมันเองไม่ต้องได้รับใบอนุญาตพิเศษ ยกเว้นว่าประกอบธุรกิจที่อยู่ในบัญชี FBA หรือกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำหนดให้ต้องมี license.
ใช้โครงสร้าง offshore แล้วเข้ามาถือหุ้นในไทยโดย SPV ยังต้องสนใจ FBA หรือไม่?
ต้องสนใจอย่างมาก เพราะ FBA มองที่ "สัญชาติของผู้ถือหุ้นและระดับ control" ของบริษัทไทย ไม่ได้สนใจเพียงว่าผู้ถือหุ้นสุดท้ายอยู่ offshore หรือ onshore ดังนั้นหาก SPV ไทยมีต่างชาติถือหุ้นหรือ control เกินเกณฑ์ที่กำหนด ก็ยังอาจถูกมองเป็นคนต่างด้าวและต้องปฏิบัติตาม FBA อยู่ดี.
ระยะเวลาโดยรวมของดีล PE ในไทยตั้งแต่เริ่ม DD จนปิดดีลมักใช้เวลานานเท่าไร?
ดีล mid-market ทั่วไปมักใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนตั้งแต่เริ่ม DD จน closing หากมีการขอใบอนุญาตจากรัฐหรือ restructuring ภายในกลุ่มบริษัทที่ซับซ้อน ระยะเวลาอาจยืดไป 6-9 เดือนหรือมากกว่านั้น.
ค่าที่ปรึกษากฎหมายและภาษีสำหรับดีล PE ในไทยโดยทั่วไปอยู่ที่ระดับใด?
โดยปกติจะคิดเป็นการผสมระหว่าง hourly rate และ fixed fee ตามช่วงงาน (เช่น DD, drafting & negotiation, regulatory filing) สำหรับดีลขนาดกลางถึงใหญ่ ค่าใช้จ่ายรวมของที่ปรึกษากฎหมาย/ภาษีอาจอยู่ในช่วงหลักหลายล้านบาท ขึ้นกับความซับซ้อนของโครงสร้างและจำนวนเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง.
ถ้าต้องการลดภาษีการออกจากการลงทุน ควรวางแผนตั้งแต่เมื่อใด?
ควรวางแผนตั้งแต่ช่วง structuring ใกล้เคียงกับการเจรจา term sheet เพราะหลายกลยุทธ์ภาษี (เช่น การใช้ holding company, การเลือก share deal vs asset deal, หรือการกระจาย exit เป็นหลายเฟส) จะใช้ไม่ได้หรือมีประสิทธิภาพลดลงอย่างมากหากวางแผนเมื่อโครงสร้างถูก "ล็อก" ไปแล้ว.
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความสำหรับดีล Private Equity ในไทย?
ควรมีทนายความไทยที่มีประสบการณ์ด้าน M&A/PE เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มวางโครงสร้างและเจรจา term sheet ไม่ใช่แค่ตอนร่าง SPA. เพราะหลายประเด็นอย่าง FBA, ภาษี และข้อจำกัดของกฎหมายไทยจะกระทบต่อโครงสร้างราคาซื้อ, รูปแบบตราสารลงทุน และสิทธิ governance โดยตรง.
กรณีที่แทบ "จำเป็น" ต้องมีทนายความไทย เช่น
- ดีลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในบัญชี FBA หรืออุตสาหกรรมที่มีกฎหมายเฉพาะ
- ดีลที่มีนักลงทุนต่างชาติหลายชั้นหรือใช้ holding company/offshore fund
- ดีลที่มีมูลค่าสูง หรือคาดว่าจะ exit ผ่าน IPO หรือขายให้ strategic buyer ระดับสากล
- ดีลที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน/อสังหาริมทรัพย์หรือโครงสร้างทรัสต์
แพลตฟอร์มกฎหมายอย่าง Lawzana สามารถช่วยคัดกรองและเชื่อมต่อคุณกับสำนักงานกฎหมายไทยที่มี track record ในดีลประเภทนี้ ทำให้เลือกทีมที่เหมาะกับขนาดดีล อุตสาหกรรม และงบประมาณได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนต่อไปหากคุณสนใจลงทุนแบบ Private Equity ในไทยคืออะไร?
หากคุณเป็นนักลงทุนหรือกองทุนที่ต้องการเริ่มสำรวจโอกาส PE ในไทย ขั้นตอนถัดไปที่แนะนำคือ
- กำหนด thesis การลงทุนในไทยอย่างชัดเจน
- sector, ticket size, control level, และ horizon การลงทุน
- พูดคุยกับที่ปรึกษากฎหมายและภาษีไทย
- ขอ high-level feasibility check เกี่ยวกับ FBA, ภาษี, และแนวทาง structuring ที่เหมาะกับ profile ของนักลงทุน
- สร้าง playbook ดีลสำหรับตลาดไทย
- กำหนด template term sheet, SPA, shareholders' agreement และ DD checklist ที่ปรับให้เข้ากับกฎหมายไทย
- ใช้เครือข่ายมืออาชีพในไทย
- เชื่อมต่อกับที่ปรึกษาทางการเงิน, boutique advisor, และสำนักงานกฎหมายที่เข้าใจทั้งภาษาตลาดทุนสากลและบริบทท้องถิ่น
ด้วยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น คุณจะสามารถใช้ศักยภาพของตลาดไทยได้เต็มที่ โดยลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและภาษี พร้อมสร้างเส้นทาง exit ที่ชัดเจนสำหรับผู้ลงทุนทุกฝ่ายในอนาคต
สำหรับการค้นหาทนายและที่ปรึกษาไทย คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลกฎหมายและภาษีจากหน่วยงานรัฐโดยตรง เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. (กฎหมายและพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย) และกรมสรรพากร (Corporate Income Tax, ภาพรวมอัตราภาษีไทย) แล้วใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นฐานในการสนทนากับทีมทนายของคุณ(sec.or.th)