อุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษีไทยอย่างไรใน Thailand ให้ผ่าน

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025
  • การโต้แย้งคำประเมิน/คำวินิจฉัยภาษีในไทยมี 2 ชั้นหลัก คือ การอุทธรณ์ภายในกรมสรรพากร (ชั้นปกครอง) และการฟ้องต่อศาลภาษีอากร (ชั้นศาล) ซึ่งมีขั้นตอนและรูปแบบเอกสารต่างกันอย่างชัดเจน(rd.go.th)
  • กำหนดเวลาสำคัญที่สุดคือ 30 วันนับแต่วันที่ "ได้รับ" หนังสือแจ้งการประเมิน เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และ 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์เพื่อฟ้องศาลภาษีอากร หากพลาดกำหนดเวลา สิทธิจะหายไปเกือบทั้งหมด(rd.go.th)
  • เอกสารสำคัญประกอบคำอุทธรณ์ ได้แก่ หนังสือแจ้งประเมิน แบบคำอุทธรณ์ (เช่น ภ.ส.6) งบการเงิน รายงานบัญชี ใบกำกับภาษี สัญญา เอกสารธนาคาร และเอกสารกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องจัดให้สอดคล้องกับประเด็นที่โต้แย้งแต่ละข้อ(rd.go.th)
  • กลยุทธ์ที่ดีต้องแยก "ข้อเท็จจริง" กับ "ข้อกฎหมาย" อย่างชัดเจน เชื่อมตัวเลขบัญชีกับเอกสาร และอ้างอิงบทกฎหมาย/คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง เพราะประเด็นที่ไม่ยกในชั้นต้นอาจถูกศาลชั้นสูงยกเป็น "ประเด็นต้องห้าม" ในภายหลังได้(itax.in.th)
  • ในคดีที่วงเงินภาษีสูง หลายปีภาษีย้อนหลัง หรือมีผลต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การใช้ทนายความภาษีตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ภายในมักเพิ่มโอกาสสำเร็จ และช่วยวางแผนหากต้องไปต่อในศาลภาษีอากร

การอุทธรณ์คำวินิจฉัยทางภาษีในไทยคืออะไร?

การอุทธรณ์คำวินิจฉัยทางภาษี คือกระบวนการที่ผู้เสียภาษีใช้สิทธิตามประมวลรัษฎากรในการโต้แย้งคำประเมินหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงาน หากเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม โดยเริ่มจากการยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในกรมสรรพากร และหากยังไม่พอใจผลจึงจึงไปสู่ชั้นศาลภาษีอากร

หัวข้อนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของกิจการ ผู้บริหารการเงิน (CFO/หัวหน้าบัญชี) และผู้เสียภาษีรายบุคคลที่ถูกประเมินภาษีย้อนหลังหรือถูกปรับในวงเงินสูง เพราะการอุทธรณ์ที่วางแผนดีสามารถลด หรือกลับคำประเมินได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังมีกรอบเวลาและรูปแบบที่เคร่งครัด หากพลาดขั้นตอนใดอาจเสียสิทธิ์ถาวร

ความแตกต่างระหว่างการทบทวนภายในกรมสรรพากรกับการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรคืออะไร?

หากไม่เห็นด้วยกับคำประเมินภาษี ขั้นตอนแรกคือ "อุทธรณ์ภายใน" ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในกรมสรรพากร ซึ่งเป็นการทบทวนในชั้นปกครองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 เมื่อได้รับคำวินิจฉัยแล้ว หากยังเห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงสามารถ "ฟ้องต่อศาลภาษีอากร" เพื่อให้ศาลตรวจสอบทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอีกชั้นหนึ่งได้(rd.go.th)

โดยสรุป ความแตกต่างหลักมีดังนี้

ประเด็น การทบทวนภายใน (อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์) การยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากร (ฟ้องศาล)
ลักษณะกระบวนการ กระบวนการทางปกครอง ภายในกรมสรรพากร กระบวนการพิจารณาคดีโดยศาลยุติธรรม (ศาลภาษีอากร)
กฎหมายหลักที่ใช้ ประมวลรัษฎากร มาตรา 28-37 และระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอุทธรณ์ฯ พ.ศ. 2564(rd.go.th) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวข้อง(rd.go.th)
ผู้พิจารณา คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ (ตัวแทนกรมสรรพากร กระทรวงมหาดไทย และอัยการ) แล้วแต่กรณี(rd.go.th) ผู้พิพากษาศาลภาษีอากร (และต่อไปยังศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และศาลฎีกา)
กำหนดเวลาเริ่มใช้สิทธิ ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์(rd.go.th)
ค่าธรรมเนียม โดยหลักไม่มีค่าธรรมเนียมการอุทธรณ์ มีค่าธรรมเนียมศาล คำนวณจากทุนทรัพย์ (เช่น อัตราก้าวหน้าโดยมีเพดาน)(itax.in.th)
ความเคร่งครัดด้านพยานหลักฐาน ยืดหยุ่นกว่าศาล แต่ต้องส่งหลักฐานภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะพิจารณาตามหลักฐานเท่าที่มี(rd.go.th) เคร่งครัดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องจัดเตรียมพยานบุคคลและเอกสารอย่างเป็นระบบ และต้องยกประเด็นให้ครบตั้งแต่ต้น
จำเป็นต้องผ่านชั้นนี้ก่อนหรือไม่ จำเป็น ต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการก่อน จึงจะไปศาลได้ (ยกเว้นบางกรณีเฉพาะด้านอื่น ๆ) ไม่สามารถฟ้องศาลได้ทันทีโดยไม่ผ่านคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อนในคดีภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร(itax.in.th)

ในการวางกลยุทธ์ธุรกิจ มักแนะนำให้ใช้ชั้นอุทธรณ์ภายในเป็นเวทีหลักในการ "ปิดจุดอ่อนข้อเท็จจริง" และจัดระเบียบหลักฐานให้พร้อม หากจำเป็นต้องไปถึงศาลภาษีอากร ศาลจะพิจารณาจากหลักฐานและประเด็นที่ได้ยกมาแล้วเป็นสำคัญ

ระยะเวลาและขั้นตอนการยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษีมีอะไรบ้าง?

โดยทั่วไป ผู้เสียภาษีมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำประเมินภาษีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน และหากไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ยังสามารถฟ้องศาลภาษีอากรได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำวินิจฉัยนั้น การไม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลาถือเป็นการสละสิทธิ์อุทธรณ์ในทางปฏิบัติแทบทั้งหมด(rd.go.th)

ขั้นตอนและไทม์ไลน์โดยสรุป

ลำดับขั้นหลักที่ผู้เสียภาษี (ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ควรรู้ มีดังนี้

  1. ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากร
    • ตรวจสอบวันที่ "ได้รับ" เอกสาร (เช่น วันที่เซ็นรับไปรษณีย์ลงทะเบียน/หนังสือราชการ) เพราะเป็นจุดเริ่มนับ 30 วัน
    • สแกนเอกสารเก็บ และส่งให้ฝ่ายบัญชี/ทนาย/ที่ปรึกษาภาษีทันที
  2. ตัดสินใจว่าจะอุทธรณ์หรือไม่
    • ประเมินวงเงินภาษีที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบต่อสภาพคล่องธุรกิจ และโอกาสชนะ
    • หารือกับผู้ทำบัญชี/ผู้สอบบัญชี และ (ถ้าเป็นไปได้) ทนายภาษี เพื่อประเมินเบื้องต้น
  3. ยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน
    • ใช้แบบคำอุทธรณ์ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด (เช่น แบบ ภ.ส.6) ยื่นผ่านระบบอุทธรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือยื่นที่หน่วยงานรับคำอุทธรณ์ของกรมสรรพากรในพื้นที่(rd.go.th)
    • ในคำอุทธรณ์ต้องระบุเลขที่หนังสือประเมิน จำนวนภาษีที่โต้แย้ง ประเด็นข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย และเหตุผลโต้แย้งแต่ละข้อ พร้อมรายการเอกสารหลักฐานแนบ
    • หากยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้วมีเหตุขัดข้อง ต้องรีบยื่นฉบับกระดาษที่หน่วยงานภายในกำหนดเวลา
  4. กรณียื่นอุทธรณ์ล่าช้า - ขอขยายกำหนดเวลา
    • หากเกิน 30 วัน ผู้เสียภาษีต้องยื่น "คำร้องขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์" ต่ออธิบดี ตามมาตรา 3 อัฏฐ ประมวลรัษฎากร และตามระเบียบกรมสรรพากร พ.ศ. 2564 พร้อมแสดงเหตุผลที่ล่าช้า(rd.go.th)
    • กรณีขอขยายเวลา "ไม่ใช่สิทธิอัตโนมัติ" ต้องแสดงเหตุผลพิเศษหรือเหตุสุดวิสัยอย่างชัดเจน ศาลฎีกาเคยตีความเคร่งครัดในประเด็นนี้แล้วหลายคำพิพากษา(rd.go.th)
  5. การพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการ
    • เจ้าหน้าที่อาจมีหนังสือเชิญชี้แจง หรือออกหมายเรียกให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม โดยมักกำหนดเวลาส่งไม่เกิน 30 วัน หากไม่ส่งตามกำหนด คณะกรรมการมีสิทธิวินิจฉัยตามหลักฐานที่มีอยู่(rd.go.th)
    • ตามแนวทางปฏิบัติปัจจุบัน กรมสรรพากรมักตั้งเป้าพิจารณาอุทธรณ์ให้เสร็จภายในประมาณ 1 ปี นับแต่รับคำอุทธรณ์ครบถ้วน และอาจขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 1 ปีในกรณีพิเศษ(mahanakornpartners.com)
  6. เมื่อได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์
    • หากเห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ให้ชำระภาษี (ถ้ายังค้าง) พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามที่กำหนด
    • หากยังไม่เห็นด้วย สามารถฟ้องศาลภาษีอากรได้ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับคำวินิจฉัย โดยฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางหรือศาลจังหวัดที่มีอำนาจ แล้วแต่กรณี(itax.in.th)

อุทธรณ์ไม่ทำให้หยุดชำระภาษีโดยอัตโนมัติ

ประเด็นที่ผู้เสียภาษีมักเข้าใจผิด คือคิดว่า "ยื่นอุทธรณ์แล้วไม่ต้องจ่ายภาษีก่อน" แท้จริงแล้วกฎหมายกำหนดชัดเจนว่า การอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษี หากต้องการรอผลอุทธรณ์ก่อนชำระ ผู้เสียภาษีต้องยื่น "คำร้องขอทุเลาการชำระภาษี" พร้อมจัดให้มีหลักประกัน (เช่น หนังสือค้ำประกันธนาคาร หลักทรัพย์อื่น) ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร(rd.go.th)

ต้องเตรียมเอกสารและหลักฐานอะไรบ้างสำหรับการอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษี?

การเตรียมเอกสารคือหัวใจของการอุทธรณ์คดีภาษี เพราะคณะกรรมการและศาลจะพิจารณาจากเอกสารเป็นหลัก ผู้เสียภาษีจึงควรเตรียมทั้งเอกสารบัญชี เอกสารภาษี และเอกสารทางกฎหมายที่เชื่อมโยงกันได้ชัดเจนกับประเด็นที่โต้แย้งแต่ละข้อ(rd.go.th)

1. เอกสารพื้นฐานด้านภาษีและตัวตนผู้เสียภาษี

  • หนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง (รวมทั้งหนังสือแจ้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หากมี)
  • สำเนาบัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน (บุคคลธรรมดา) หรือหนังสือรับรองนิติบุคคลและวัตถุประสงค์ (นิติบุคคล)
  • หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามีตัวแทนยื่นคำอุทธรณ์หรือไปติดต่อ)
  • แบบคำอุทธรณ์ (เช่น ภ.ส.6) ที่กรอกครบถ้วน พร้อมลงนามโดยผู้มีอำนาจลงนามของกิจการ

2. เอกสารบัญชีและภาษีที่ใช้ยืนยันข้อเท็จจริง

  • งบการเงิน งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบการเงินในปีภาษีที่ถูกประเมิน
  • สมุดบัญชีแยกประเภท (General Ledger) บัญชีรายได้ ค่าใช้จ่าย สินทรัพย์ หนี้สิน ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภาษี
  • ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบส่งของ เอกสารการขาย-ซื้อ ที่สนับสนุนรายได้/ค่าใช้จ่ายที่ถูกโต้แย้ง
  • แบบแสดงรายการภาษีที่ยื่น (เช่น ภ.ง.ด.50, ภ.พ.30, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 เป็นต้น) พร้อมหลักฐานการชำระภาษี
  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้งที่ออกให้ผู้อื่นและที่กิจการได้รับจากคู่ค้า
  • เอกสารธนาคาร เช่น รายการเดินบัญชี (Bank Statement) หนังสือยืนยันยอดเงินกู้/เงินฝาก
  • กรณีนำเข้า-ส่งออก: เอกสารศุลกากร ใบขนสินค้า อินวอยซ์นำเข้า/ส่งออก สัญญาระหว่างประเทศ

3. เอกสารทางกฎหมายและธุรกรรม

  • สัญญาทางธุรกิจทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง เช่น สัญญาบริการ สัญญาให้กู้ยืม สัญญาเช่า สัญญาแฟรนไชส์ สัญญาอนุญาตใช้ทรัพย์สินทางปัญญา
  • มติคณะกรรมการบริษัท/ผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการถือหุ้น การปรับโครงสร้างหนี้ การโอนกิจการ/ทรัพย์สิน
  • หนังสือโต้ตอบกับกรมสรรพากร เช่น หนังสือขอข้อมูล หนังสือชี้แจงในชั้นตรวจสอบ หนังสือตอบข้อหารือ
  • ความเห็นทางกฎหมาย (Legal Opinion) หรือความเห็นผู้สอบบัญชีที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)

4. เชื่อมประเด็นโต้แย้งกับหลักฐาน: ทำอย่างไรให้ "อ่านง่ายและน่าเชื่อถือ"

คำอุทธรณ์ที่ดีไม่ใช่เพียงการแนบเอกสารจำนวนมาก แต่ต้องจัดโครงสร้างให้ผู้พิจารณา "เห็นภาพ" ง่าย ดังนี้

  • จัดทำ "ตารางสรุปประเด็นอุทธรณ์" โดยแต่ละแถวระบุ
    • ประเด็นที่เจ้าพนักงานประเมินโต้แย้ง
    • เหตุผลของเจ้าพนักงาน (ตามบันทึกตรวจสอบ/หนังสือประเมิน)
    • ข้อโต้แย้งของผู้เสียภาษี
    • รายการเอกสารที่แนบสนับสนุน
  • แนบ "ตารางกระทบยอดตัวเลข" (Reconciliation) ระหว่างตัวเลขตามแบบภาษี งบการเงิน และตัวเลขที่เจ้าพนักงานประเมินเพิ่ม/ลด
  • ไฮไลท์ส่วนสำคัญในเอกสาร เช่น บรรทัดในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้ การรับภาระค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้ผู้พิจารณาเห็นประเด็นได้รวดเร็ว

จะวางกลยุทธ์โต้แย้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างไร?

กลยุทธ์การอุทธรณ์ภาษีที่มีประสิทธิภาพต้องแยก "ข้อเท็จจริง" กับ "ข้อกฎหมาย" อย่างชัดเจน ใช้เอกสารบัญชีและธุรกรรมยืนยันข้อเท็จจริง และอ้างบทกฎหมาย คำสั่งกรมสรรพากร และคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อโต้แย้งการตีความกฎหมายของเจ้าพนักงาน นอกจากนี้ควรวางแผนเผื่อไปสู่ชั้นศาลตั้งแต่ตอนเขียนคำอุทธรณ์ เพราะประเด็นที่ไม่ยกตั้งแต่แรกอาจกลายเป็น "ข้ออุทธรณ์ต้องห้าม" ได้ในชั้นสูง(itax.in.th)

1. การจัดโครงสร้างข้อเท็จจริง

เป้าหมายคือทำให้ผู้พิจารณาเข้าใจธุรกิจและธุรกรรมที่แท้จริงของคุณอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าการประเมินไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงนั้น

  • เริ่มต้นด้วย "ภาพรวมธุรกิจ" สั้น ๆ: รูปแบบรายได้ โมเดลธุรกิจ คู่ค้าโดยสังเขป
  • จัดทำไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ เช่น วันที่ทำสัญญา วันที่รับรู้รายได้ วันที่ขายทรัพย์สิน วันที่โอนหุ้น ฯลฯ
  • อธิบายวิธีบันทึกบัญชีที่ใช้ และเชื่อมโยงกับมาตรฐานการบัญชีที่เหมาะสม (เช่น การรับรู้รายได้ตาม TFRS 15 หากเกี่ยวข้อง)
  • ชี้ให้เห็น "ช่องว่าง" หรือ "ความเข้าใจคลาดเคลื่อน" ของเจ้าพนักงานในชั้นตรวจสอบ เช่น อ่านสัญญาไม่ครบถ้วน หรือตีความลักษณะธุรกรรมผิดประเภท

2. การโต้แย้งข้อกฎหมาย

ในคดีภาษีจำนวนมาก ข้อพิพาทสำคัญคือ "การตีความกฎหมาย" ไม่ใช่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว การโต้แย้งควรมีโครงสร้างดังนี้

  • ระบุ "บทบัญญัติหลัก" ที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน (เช่น มาตราในประมวลรัษฎากร พระราชกฤษฎีกา คำสั่งกรมสรรพากร)
  • อธิบาย "เจตนารมณ์ของกฎหมาย" หรือหลักทั่วไป (เช่น หลักรายได้พึงประเมิน หลักค่าใช้จ่ายเพื่อหากำไร)
  • เปรียบเทียบการตีความของเจ้าพนักงานกับการตีความของผู้เสียภาษีทีละประเด็น
  • หากมีคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ผ่านมาในประเด็นใกล้เคียง สามารถอ้างเป็นแนวทางประกอบได้ โดยสรุปสาระสำคัญให้กระชับ(itax.in.th)

3. เทคนิคเชิงกลยุทธ์ที่มักใช้ในคดีภาษี

  • เน้นความสุจริตและความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ - ศาลและคณะกรรมการมักให้ความสำคัญกับเจตนาที่สุจริต การมีระบบบัญชีที่เหมาะสม และการเสียภาษีโดยทั่วไปถูกต้อง
  • อย่าเปลี่ยนข้อเท็จจริงไปมา - การให้คำอธิบายที่ไม่สอดคล้องระหว่างชั้นตรวจสอบ ชั้นอุทธรณ์ และชั้นศาล จะลดความน่าเชื่อถืออย่างมาก
  • ยกประเด็นให้ครบตั้งแต่ต้น - ประเด็นที่ไม่ยกในคำอุทธรณ์หรือในคำให้การชั้นศาลภาษีอากรกลาง อาจกลายเป็น "ข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ" และถูกห้ามยกในชั้นฎีกาได้(itax.in.th)
  • ขอทุเลาการชำระภาษีพร้อมกับคำอุทธรณ์ (ถ้าจำเป็น) - เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสภาพคล่อง ควรระบุคำขอทุเลาการชำระภาษีในคำอุทธรณ์ตั้งแต่แรก แล้วจัดเตรียมหลักประกันให้พร้อม(itax.in.th)

เมื่อไหร่ควรใช้ทนายภาษี และจะเลือกทนายที่มีประสบการณ์ได้อย่างไร?

แม้ผู้เสียภาษีสามารถยื่นอุทธรณ์ภาษีด้วยตนเองได้ แต่ในข้อพิพาทที่วงเงินภาษีสูง หลายปีภาษีย้อนหลัง โครงสร้างธุรกิจซับซ้อน หรือมีโอกาสต้องไปถึงศาลภาษีอากร การใช้ทนายความภาษีและที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ภายในจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จและลดความเสี่ยงในการพลาดประเด็นสำคัญ

1. สัญญาณว่าควรมีทนายภาษีช่วย

  • วงเงินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวมกันสูงจนกระทบกระแสเงินสด หรืออาจทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง
  • คดีเกี่ยวข้องกับประเด็นซับซ้อน เช่น Transfer Pricing ภาษีจากธุรกรรมระหว่างประเทศ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่มธุรกรรมดิจิทัล
  • กรมสรรพากรประเมินหลายปีภาษีย้อนหลัง หรือมีประเด็นที่อาจนำไปสู่ความรับผิดทางอาญา
  • จำเป็นต้องจัดทำพยานบุคคลและพยานเอกสารจำนวนมาก หรือคาดว่าจะต้องฟ้องศาลแน่นอน

2. เกณฑ์เลือกทนายภาษีที่มีประสบการณ์

  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง - มีผลงานด้านคดีภาษีอากรหรือคดีภาษีในศาลภาษีอากร ไม่ใช่ทนายทั่วไปเพียงอย่างเดียว
  • ประสบการณ์กับกรมสรรพากรและศาลภาษีอากร - เคยทำงานในชั้นอุทธรณ์ภายในและชั้นศาล รู้ขั้นตอนจริงและแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่
  • การทำงานร่วมกับฝ่ายบัญชี - สามารถอธิบายประเด็นกฎหมายให้ฝ่ายบัญชีเข้าใจ และช่วยปรับโครงสร้างเอกสารบัญชีให้รองรับข้อโต้แย้งได้
  • ความโปร่งใสด้านค่าบริการ - มีการตกลงค่าบริการชัดเจน อาจเป็นแบบเหมาจ่ายตามขั้นตอน (อุทธรณ์ภายใน/ชั้นศาล) ผสมกับค่าตอบแทนตามผลสำเร็จในบางกรณี
  • การสื่อสารและความเข้าใจธุรกิจ - ทนายที่ดีต้องสามารถอธิบายความเสี่ยงและโอกาสในภาษาที่เข้าใจง่าย และเข้าใจโมเดลธุรกิจของคุณเพียงพอที่จะมองเห็นประเด็นเชิงกลยุทธ์

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษี

มีความเชื่อผิด ๆ หลายประการที่ทำให้ผู้เสียภาษีเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น การรู้เท่าทันจะช่วยให้คุณวางแผนได้ดีขึ้น

  • "ยื่นอุทธรณ์แล้วไม่ต้องจ่ายภาษีก่อน"
    ความจริง: การอุทธรณ์ไม่หยุดการบังคับชำระภาษีโดยอัตโนมัติ ต้องยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษีและจัดหลักประกันต่อกรมสรรพากรจึงจะสามารถรอผลอุทธรณ์ก่อนชำระได้(rd.go.th)
  • "เลยกำหนด 30 วันแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้เลย"
    ความจริง: แม้พลาดกำหนด 30 วัน ความเป็นไปได้จะลดลงมาก แต่ยังอาจมีช่องทาง เช่น ขอขยายกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ (หากยังอยู่ในกรอบเวลาที่กฎหมายเปิดช่อง และมีเหตุพิเศษ) หรือใช้กลไกกฎหมายอื่นในกรณีเฉพาะ อย่างไรก็ดี โอกาสสำเร็จต่ำกว่าการอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาอย่างมาก(rd.go.th)
  • "ไม่ต้องอุทธรณ์ภายใน ฟ้องศาลเลยก็ได้"
    ความจริง: สำหรับคดีภาษีภายใต้ประมวลรัษฎากร ต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน จึงจะฟ้องศาลภาษีอากรได้ หากไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในเวลา ศาลอาจไม่รับฟ้องหรือวินิจฉัยว่าขาดสิทธิ์โดยปริยาย(rd.go.th)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการอุทธรณ์คำวินิจฉัยทางภาษี

อุทธรณ์ภาษีต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือไม่?

ชั้นอุทธรณ์ภายในกรมสรรพากรโดยหลักไม่มีค่าธรรมเนียมการยื่นคำอุทธรณ์ ผู้เสียภาษีจึงไม่ควรกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในขั้นนี้มากนัก อย่างไรก็ดี หากคดีไปถึงศาลภาษีอากร จะมีค่าธรรมเนียมศาลคำนวณจากวงเงินภาษีที่โต้แย้ง ซึ่งอาจสูงในคดีทุนทรัพย์มาก จึงควรประเมินร่วมกับทนายก่อนตัดสินใจฟ้อง(itax.in.th)

หากยื่นอุทธรณ์ล่าช้า ยังมีโอกาสขอขยายเวลาได้หรือไม่?

กฎหมายเปิดช่องให้ยื่นคำร้องขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมสรรพากรได้ ในกรณีที่มีเหตุสมควรหรือเหตุพิเศษ อย่างไรก็ตาม ต้องยื่น "ก่อนที่สิทธิจะขาดเกินสมควร" และต้องแสดงเหตุผลอย่างละเอียด เช่น เหตุสุดวิสัยหรือเหตุที่อยู่นอกการควบคุมของผู้เสียภาษี ศาลฎีกามีแนววินิจฉัยเคร่งครัดในเรื่องนี้ จึงไม่ควรหวังพึ่งการขยายเวลาเป็นทางหลัก(rd.go.th)

การเขียนคำอุทธรณ์ต้องใช้ภาษากฎหมายซับซ้อนหรือไม่?

ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำกฎหมายซับซ้อนเสมอไป แต่ควรเป็นภาษาไทยที่ชัดเจน ตรงประเด็น แยกหัวข้อย่อย อ่านแล้วเข้าใจลำดับเหตุผลได้ง่าย สิ่งสำคัญคือโครงสร้างที่ดี เอกสารแนบครบ และการอ้างอิงข้อเท็จจริง/กฎหมายอย่างเป็นระบบ หากใช้ทนายภาษีช่วย ทนายจะช่วยปรับถ้อยคำให้เหมาะสมโดยยังรักษาเนื้อหาที่คุณต้องการสื่อ

ใช้เอกสารภาษาอังกฤษในคดีภาษีได้หรือไม่?

สามารถใช้ได้ แต่ในชั้นศาลมักต้องแปลเป็นภาษาไทยโดยผู้แปลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย เพื่อให้ศาลรับเป็นพยานเอกสาร ในชั้นอุทธรณ์ภายใน กรมสรรพากรโดยทั่วไปยอมรับเอกสารภาษาอังกฤษประกอบได้ แต่การมีคำแปลไทยประกบจะช่วยให้เจ้าหน้าที่พิจารณาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

อุทธรณ์ภาษีใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะรู้ผล?

ชั้นอุทธรณ์ภายในโดยทั่วไปตั้งเป้าให้เสร็จภายในราว 1 ปี นับแต่วันที่กรมสรรพากรได้รับคำอุทธรณ์และเอกสารครบถ้วน และอาจขยายได้อีกไม่เกิน 1 ปีในกรณีซับซ้อน ส่วนหากคดีเข้าสู่ศาลภาษีอากร จนถึงศาลฎีกาอาจใช้เวลารวมหลายปี ขึ้นกับความซับซ้อนของคดีและจำนวนชั้นศาลที่ใช้สิทธิอุทธรณ์(mahanakornpartners.com)

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความสำหรับการอุทธรณ์ภาษี?

หากคุณเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารการเงิน และกำลังเผชิญการประเมินภาษีที่มี "สามคุณสมบัตินี้" ควรพิจารณาจ้างทนายความภาษีโดยเร็ว

  • วงเงินภาษีที่ถูกประเมิน (รวมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม) มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ หรือเสี่ยงกระทบสภาพคล่อง
  • คดีเกี่ยวข้องกับประเด็นกฎหมายและบัญชีซับซ้อน หรือเกี่ยวพันหลายกฎหมาย (เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมกัน)
  • คาดว่าจะต้องไปถึงชั้นศาลภาษีอากร หรือฝ่ายบริหารต้องการ "ภาพรวมความเสี่ยงทางกฎหมาย" เพื่อตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

การนำทนายเข้ามาในช่วงต้น โดยเฉพาะก่อนหมดกำหนด 30 วัน จะช่วยให้มีเวลาจัดระเบียบเอกสาร วางกรอบข้อเท็จจริง และกำหนดกลยุทธ์การโต้แย้งที่สอดคล้องกันตั้งแต่ชั้นกรมสรรพากรไปจนถึงชั้นศาล ลดความเสี่ยงเรื่องประเด็นที่ตกหล่นหรือขัดแย้งกันเองในอนาคต

ขั้นตอนต่อไปหากคุณกำลังพิจารณาอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษี

หากคุณเพิ่งได้รับหนังสือประเมินหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และกำลังคิดจะอุทธรณ์ ลองใช้เช็กลิสต์ต่อไปนี้เป็นแนวทางปฏิบัติ

  1. จดบันทึกวันที่ได้รับหนังสือ - คือวันที่เริ่มนับ 30 วันสำหรับการยื่นอุทธรณ์หรือฟ้องศาล เก็บหลักฐานการรับเอกสารไว้เสมอ
  2. รวบรวมเอกสารให้ครบ - หนังสือประเมินทุกฉบับ งบการเงิน สมุดบัญชี สัญญา เอกสารธนาคาร และเอกสารภาษีที่เกี่ยวข้อง
  3. หารือกับฝ่ายบัญชีและที่ปรึกษา - ประเมินว่าเจ้าพนักงานเข้าใจธุรกรรมครบถ้วนหรือไม่ มีจุดใดในเอกสารที่อาจทำให้ตีความผิด
  4. พิจารณาปรึกษาทนายภาษี - โดยเฉพาะหากวงเงินสูงหรือคดีซับซ้อน ทนายจะช่วยประเมินโอกาสสำเร็จและแนวทางเจรจาหรือสู้คดี
  5. ตัดสินใจเรื่องการชำระภาษี/ขอทุเลาการชำระ - ชั่งน้ำหนักระหว่างการชำระภาษีบางส่วนหรือทั้งหมด กับการขอทุเลาพร้อมจัดหลักประกัน
  6. จัดทำและยื่นคำอุทธรณ์ภายในกำหนด - ตรวจสอบความครบถ้วนของประเด็นโต้แย้ง เอกสารแนบ และช่องทางการยื่น (ออนไลน์หรือที่สำนักงานพื้นที่)
  7. ติดตามสถานะคดีอย่างสม่ำเสมอ - เก็บสำเนาหนังสือโต้ตอบทุกฉบับ และทบทวนกลยุทธ์หากมีพัฒนาการใหม่ (เช่น แนวคำพิพากษาศาลในประเด็นใกล้เคียง)

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียภาษีและตัวอย่างแบบฟอร์มอุทธรณ์ สามารถดูได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร เช่น หน้ารวมสิทธิของผู้เสียภาษีที่อธิบายสิทธิในการอุทธรณ์อย่างย่อ และระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติหลักในปัจจุบัน(rd.go.th)

บทความที่คล้ายกัน

ประเทศไทย Dec 11, 2025

SME ใกล้ล้มละลาย ฟื้นฟูกิจการอย่างไรใน Thailand ดี

ฟื้นฟูกิจการ SME ในไทย: ทางเลือกก่อนยื่นล้มละลาย การ "ปรับโครงสร้างหนี้" เป็นการเจรจาตกลงใหม่กับเจ้าหนี้เพื่อให...

อ่านบทความ
ประเทศไทย Dec 11, 2025

ทำสัญญาธุรกิจอย่างไรไม่เสียเปรียบ ในไทย (Thailand)

สัญญาธุรกิจในไทยที่ดีควรระบุคู่สัญญา ขอบเขตงาน ราคา/การชำระเงิน ระยะเวลา ความรับผิด และวิธีระงับข้อพิพาทให้ชัด เ...

อ่านบทความ
ประเทศไทย Dec 11, 2025

ธุรกิจไทยปฏิบัติตามกฎหมายส่งออก-คว่ำบาตรใน Thailand ยังไง

ธุรกิจไทยที่ส่งออกหรือทำธุรกรรมข้ามชาติต้องคำนึงถึงทั้งกฎหมายไทย (WMD / Dual-use, ศุลกากร, ป้องกันฟอกเงิน) และมาตรการค...

อ่านบทความ

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ค้นหาทนายความ

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม