นำเข้าอาหารเสริม-เครื่องสำอาง Thailand ต้องขึ้นทะเบียน อย. ยังไง

อัปเดตเมื่อ Dec 11, 2025
  • การนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทยอยู่ภายใต้กฎหมายหลัก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 โดยมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลหลัก
  • จุดชี้เป็นชี้ตายของธุรกิจคือ "การจำแนกประเภทผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง" (อาหารเสริม ยา หรือเครื่องสำอาง) เพราะกำหนดขั้นตอน เอกสาร ระยะเวลา และความเสี่ยงทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
  • อาหารเสริมนำเข้าโดยทั่วไปต้องขออนุญาตสถานที่นำเข้า + ขอเลข อย. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนเครื่องสำอางต้องขออนุญาตสถานที่นำเข้า + จดแจ้งเครื่องสำอางก่อนนำเข้าและจำหน่าย
  • ฉลากภาษาไทย การโฆษณา และข้อความทางการตลาดถูกควบคุมเข้มงวด ห้ามอวดอ้างรักษาโรค เกินจริง หรือทำให้เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นยา การฝ่าฝืนมีโทษทั้งปรับ อายัดสินค้า และสั่งเพิกถอนเลข อย.
  • หากถูก อย. เรียกเก็บตัวอย่าง หรือแจ้งเตือนสินค้าไม่ปลอดภัย ต้องตอบสนองอย่างเป็นระบบ: หยุดจำหน่าย ตรวจสอบภายใน วางแผนเรียกคืน และสื่อสารร่วมกับ อย. อย่างโปร่งใส
  • ทนายความที่เชี่ยวชาญกฎหมายอาหาร/เครื่องสำอางช่วยลดความเสี่ยงได้มาก ตั้งแต่การวางกลยุทธ์จำแนกสินค้า ออกแบบฉลากและคำโฆษณา ไปจนถึงตอบโต้หนังสือเตือนหรือการดำเนินคดีของ อย.

นำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทย: กฎหมาย อย. และการขึ้นทะเบียนคืออะไร?

การนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางมาไทยต้องผ่านทั้ง "กฎหมายศุลกากร" และ "กฎหมาย อย." โดยเฉพาะพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 สำหรับอาหารเสริม และพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 สำหรับเครื่องสำอาง ผู้ประกอบการที่เตรียมตัวดีและเข้าใจกระบวนการจะลดความเสี่ยงสินค้าติดด่าน ถูกอายัด หรือถูกสั่งเรียกคืนสินค้าได้มาก

สำหรับธุรกิจ (B2B) จุดสำคัญไม่ใช่แค่ "ผ่าน อย." ให้ได้ แต่คือ "ผ่านให้เร็ว โดยไม่ต้องแก้เอกสารหลายรอบ และไม่สร้างความเสี่ยงย้อนหลัง" เพราะเมื่อสินค้าติดตลาดแล้ว หากถูกเพิกถอนเลข อย. หรือจับโฆษณาเกินจริง จะกระทบทั้งแบรนด์และคู่ค้าอย่างรุนแรง

คู่มือนี้จึงเน้นทั้งภาพรวมกฎหมาย ขั้นตอนปฏิบัติจริง เช็กลิสต์เอกสาร ข้อห้ามการตลาด และบทบาทของทนายความ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางไปใช้วางแผนธุรกิจได้อย่างปลอดภัยและเป็นระบบ

อย. แบ่งประเภทผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางอย่างไร และทำไมการจำแนกให้ถูกต้องจึงสำคัญ?

การจำแนกประเภทผลิตภัณฑ์ให้ถูกตั้งแต่ต้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เพราะจะกำหนดว่า คุณต้องยื่นภายใต้กฎหมายอาหาร ยา หรือเครื่องสำอาง ใช้ขั้นตอน "ขึ้นทะเบียน" หรือ "จดแจ้ง" ใช้เอกสารอะไร และสามารถโฆษณาได้ถึงระดับไหน หากจำแนกผิด เช่น สินค้าที่ควรเป็น "ยา" แต่นำไปจดแจ้งเป็น "อาหารเสริม" อาจเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีหนักในภายหลังได้

การจำแนกอาหารเสริมภายใต้กฎหมายอาหาร

อาหารเสริม (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ซึ่งกำหนดนิยาม เงื่อนไขการใช้ส่วนผสม การแสดงฉลาก และข้อความเตือนบนฉลากอย่างชัดเจน

  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร: ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง หรือของเหลว ที่มีจุดประสงค์เพื่อเสริมอาหาร/สารอาหาร ไม่ใช่เพื่อรักษาหรือป้องกันโรค เช่น วิตามินรวม คอลลาเจน ผงโปรตีน
  • อาหารทั่วไป/อาหารพร้อมบริโภค: หากเน้นคุณค่าอาหารโดยรวม ไม่อ้างคุณประโยชน์เชิง "เสริม" เฉพาะด้าน อาจจัดเป็นอาหารทั่วไป (กฎเกณฑ์เบากว่า)
  • ยา: หากสูตรหรือคำโฆษณาชี้ชัดว่ารักษา บรรเทา หรือป้องกันโรค (เช่น รักษาเบาหวาน ความดัน หัวใจ) มักจะเข้าข่าย "ยา" ซึ่งถูกควบคุมเข้มงวดกว่ามาก

การจำแนกเครื่องสำอางภายใต้พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง

เครื่องสำอางอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และกรอบอาเซียน (ASEAN Cosmetic Directive) ซึ่งไทยเป็นภาคี กฎหมายจะดู "วัตถุประสงค์การใช้" เป็นหลัก คือใช้กับภายนอกร่างกาย เช่น ผิวหนัง เส้นผม เล็บ เพื่อทำความสะอาด ปกป้อง แต่งเติม หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก โดยไม่อ้างสรรพคุณรักษาโรค

  • เครื่องสำอาง: ครีมบำรุงผิว โลชั่น แชมพู ครีมกันแดด เมคอัพ ฯลฯ ที่ไม่อวดอ้างรักษาโรคผิวหนัง
  • ยา/เวชภัณฑ์: ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยาสมุนไพรหรือสารออกฤทธิ์ชัดเจน และอ้างการรักษา เช่น รักษาสิว รักษากลากเกลื้อน รักษาผมร่วง มักถูกจัดเป็นยา
ประเภทผลิตภัณฑ์ ตัวอย่าง กฎหมายหลัก สถานะก่อนวางขาย
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน คอลลาเจน ผงโปรตีน แคปซูลสมุนไพร พ.ร.บ.อาหาร + ประกาศผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ต้องขอเลข อย. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ขึ้นทะเบียน)
อาหารทั่วไป ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มทั่วไป พ.ร.บ.อาหาร + ประกาศเฉพาะประเภท ส่วนใหญ่แจ้งรายละเอียดและแสดงฉลากตามกฎหมาย
เครื่องสำอาง ครีมบำรุง โลชั่น กันแดด แชมพู พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 สถานที่นำเข้าต้องได้รับอนุญาต และ "จดแจ้งเครื่องสำอาง" ก่อนวางขาย
ยา ยารักษาสิว ยารักษาเชื้อรา ยาลดความดัน พ.ร.บ.ยา ต้องขึ้นทะเบียนตำรับยา เข้มงวดที่สุด

เกณฑ์เบื้องต้นในการแยกว่าสินค้าคุณคืออะไร

  • ถามตัวเองก่อนว่า "เราจะสื่ออะไรกับผู้บริโภค" ถ้าสื่อว่า "ช่วยรักษา/ป้องกันโรค" มีโอกาสสูงที่จะเข้าข่ายยา
  • ดู "รูปแบบการใช้" - กินเข้าไปมักอยู่ในกฎหมายอาหาร/ยา ใช้ภายนอกมักเป็นเครื่องสำอาง/ยาเฉพาะที่
  • ตรวจส่วนผสมหลักว่าอยู่ในบัญชี "สารห้าม/สารจำกัด" ของอาหารหรือเครื่องสำอางหรือไม่ หากเกี่ยวข้องกับยา อาจต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ทั้งผลิตภัณฑ์
  • ในเคสที่ไม่ชัดเจน การให้ทนายความและที่ปรึกษา อย. ช่วยอ่านสูตรและคำโฆษณาตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงผิดประเภทอย่างมาก

เอกสารและขั้นตอนการขึ้นทะเบียน/จดแจ้งอาหารเสริมและเครื่องสำอำนำเข้าในไทยมีอะไรบ้าง?

การยื่น อย. สำหรับสินค้านำเข้ามีสองชั้นเสมอ คือ "ขออนุญาตสถานที่นำเข้า" และ "ขออนุญาตตัวผลิตภัณฑ์" (ขึ้นทะเบียนหรือจดแจ้ง) โดยต้องใช้เอกสารทั้งจากฝั่งไทยและต่างประเทศ เช่น GMP ใบอนุญาตผู้ผลิต รายการส่วนผสม และฉลากตัวอย่าง หากเตรียมไม่ครบ การพิจารณาจะล่าช้าออกไปเป็นเดือน

ขั้นตอนหลักสำหรับอาหารเสริมนำเข้า

  1. จัดตั้ง/แต่งตั้งผู้นำเข้าในไทย
    • ต้องเป็นนิติบุคคลไทยหรือมีที่ตั้งในไทยชัดเจน ใช้เป็นผู้ขออนุญาตต่อ อย.
    • เตรียมเอกสารจดทะเบียนบริษัท หนังสือรับรอง สำเนาบัตรกรรมการ/ผู้รับผิดชอบ
  2. ขออนุญาตสถานที่นำเข้าอาหาร
    • ยื่นคำขออนุญาตสถานที่นำเข้าอาหารต่อ อย. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
    • ต้องมีสถานที่เก็บสินค้า (คลังสินค้า) ที่ผ่านเกณฑ์สุขาภิบาลและระบบจัดเก็บที่เหมาะสม
  3. เตรียมเอกสารผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตต่างประเทศ
    • ใบรับรองโรงงานผลิตตามมาตรฐาน GMP/HACCP หรือมาตรฐานเทียบเท่าตามที่ อย. ยอมรับ
    • สูตรผลิต (Full formulation) แสดงปริมาณสารสำคัญทุกตัว หน่วย และเปอร์เซ็นต์
    • Certificate of Analysis (COA) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์
    • รายละเอียดกระบวนการผลิตโดยสังเขป และสเปกวัตถุดิบสำคัญ
  4. ออกแบบฉลากภาษาไทยตามกฎหมายอาหาร
    • มีข้อความบังคับครบถ้วน เช่น ชื่ออาหาร ประเภทอาหาร ส่วนผสม ปริมาณสุทธิ ชื่อและที่อยู่ผู้นำเข้า เลขสารบบอาหาร ช่องวันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ และคำเตือนตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
    • รูปแบบการแสดง "วันเดือนปี" ต้องเป็นไปตามประกาศของ อย. และมีเงื่อนไขด้านฉลากโภชนาการ/ฉลากสุขภาพในบางกรณี
  5. ยื่นคำขอเลข อย. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
    • ยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ อย. แนบเอกสารสูตร รายการส่วนผสม ฉลาก และเอกสารสนับสนุนความปลอดภัยของสารบางชนิด (ถ้ามี)
    • ระยะเวลาพิจารณาโดยทั่วไปสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนำเข้าอาจอยู่ที่ประมาณ 30-90 วันทำการ ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนของเอกสารและความซับซ้อนของสูตร
  6. ผ่านการอนุมัติและใช้เลขสารบบอาหาร
    • เมื่อผ่านการพิจารณา จะได้รับเลขสารบบอาหาร (เลข อย. 13 หลัก) สำหรับใช้บนฉลากและในการโฆษณา
    • ห้ามนำเข้าหรือจำหน่ายก่อนเลข อย. มีผล และต้องใช้ฉลากที่ผ่านการอนุมัติ

ขั้นตอนหลักสำหรับเครื่องสำอางนำเข้า

  1. ขออนุญาตสถานที่นำเข้าเครื่องสำอาง
    • ต้องได้รับใบอนุญาตสถานที่นำเข้าเครื่องสำอางจาก อย. ก่อนนำเข้าสินค้าจริง
    • สถานที่ต้องเหมาะสมกับการเก็บรักษาและมีระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้า
  2. เตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์ตามกรอบอาเซียน
    • Full ingredient list พร้อมระบุชื่อ INCI และเปอร์เซ็นต์ในสูตร
    • ข้อมูลด้านความปลอดภัยของสารที่มีข้อจำกัดการใช้ (ถ้ามี) ตามบัญชีสารห้าม/สารจำกัดในกฎหมายเครื่องสำอาง
    • ตัวอย่างฉลาก/บรรจุภัณฑ์ต้นฉบับจากต่างประเทศ
  3. ออกแบบฉลากภาษาไทยตามกฎหมายเครื่องสำอาง
    • ต้องมีฉลากภาษาไทยแสดง ชื่อเครื่องสำอาง ชื่อทางการค้า ประเภทการใช้ ส่วนผสม วิธีใช้ คำเตือน (ถ้ามี) ชื่อ-ที่อยู่ผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ เลขที่ผลิต และเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ รวมถึงเลขที่รับจดแจ้งเมื่อได้รับอนุมัติ
  4. ยื่น "จดแจ้งเครื่องสำอาง" กับ อย.
    • ยื่นผ่านระบบของกองควบคุมเครื่องสำอางของ อย. แนบข้อมูลสูตร ส่วนผสม และตัวอย่างฉลาก
    • โดยทั่วไปหากเอกสารครบถ้วน เครื่องสำอางใช้เวลาพิจารณารวดเร็วกว่าอาหารเสริม (มักอยู่ในหลักไม่กี่วันทำการสำหรับเคสปกติ)
  5. ได้รับเลขที่ใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง
    • เมื่อผ่านแล้วจะได้ "เลขที่จดแจ้ง" ซึ่งต้องพิมพ์บนฉลาก และแสดงในการโฆษณา
    • ห้ามวางขายหรือทำการตลาดก่อนการจดแจ้งเสร็จสมบูรณ์

Checklist สั้นๆ ก่อนยื่น อย.

  • มีนิติบุคคลหรือผู้รับผิดชอบในไทยที่พร้อมขออนุญาตสถานที่นำเข้าแล้วหรือยัง
  • มีใบรับรอง GMP โรงงานผู้ผลิตต่างประเทศ และเอกสารสูตร/COA ครบทุกผลิตภัณฑ์หรือยัง
  • ได้ออกแบบฉลากภาษาไทยตามประเภทผลิตภัณฑ์ (อาหารเสริม vs เครื่องสำอาง) และตรวจคำโฆษณาเบื้องต้นแล้วหรือไม่
  • ได้วางแผน Timeline การเปิดตัวสินค้าให้เผื่อเวลาสำหรับการถาม-ตอบ/แก้ไขเอกสารกับ อย. หรือยัง

ข้อกำหนดฉลาก การโฆษณา และข้อห้ามทางการตลาดสำหรับอาหารเสริมและเครื่องสำอางตามกฎหมายไทยคืออะไร?

ฉลากและการโฆษณาเป็นพื้นที่ที่ อย. ตรวจเข้มที่สุด เพราะกระทบโดยตรงต่อความเข้าใจของผู้บริโภค กฎหมายกำหนดข้อความบังคับบนฉลาก และจำกัดข้อความที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดหรือเชื่อเกินจริง หากใช้คำโฆษณาผิด เช่น "รักษา... หายขาด" กับอาหารเสริมหรือเครื่องสำอาง มีโอกาสถูกสั่งหยุดโฆษณา ปรับ หรือดำเนินคดีอาญาได้

ฉลากอาหารเสริม: สิ่งที่ต้องมี

  • ชื่ออาหารและคำว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ชัดเจน
  • รายการส่วนผสมทั้งหมด เรียงตามสัดส่วนมากไปน้อย พร้อมเปอร์เซ็นต์หรือปริมาณสารสำคัญ
  • ปริมาณสุทธิ หน่วยบรรจุ และรูปแบบ (เช่น 30 แคปซูล, 500 มล.)
  • ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต (กรณีผลิตในประเทศ) หรือผู้นำเข้าในประเทศไทย
  • เลขสารบบอาหาร (เลข อย.)
  • เลขที่ผลิต วันที่ผลิต และวันหมดอายุ ตามรูปแบบวันที่ที่กฎหมายกำหนด
  • คำเตือนบังคับของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น "อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค" และคำเตือนเฉพาะขึ้นกับสูตร
  • ถ้ามีการกล่าวอ้างทางโภชนาการหรือสุขภาพ ต้องแสดงฉลากโภชนาการ/ข้อความตามหลักเกณฑ์ของ อย.

ฉลากเครื่องสำอาง: สิ่งที่ต้องระบุ

  • ชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้า
  • ประเภท/การใช้ เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า โลชั่นบำรุงผิวกาย แชมพู
  • ส่วนผสมทั้งหมด (Ingredients) โดยใช้ชื่อ INCI ตามมาตรฐานสากล
  • วิธีใช้และคำเตือน (เช่น หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตา, หากมีอาการระคายเคืองให้หยุดใช้)
  • ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต (กรณีผลิตในประเทศ) หรือผู้นำเข้าในประเทศไทย
  • ปริมาณสุทธิ เลขที่ผลิต เดือน/ปีที่ผลิต และวันหมดอายุหรืออายุการเก็บรักษา (ถ้าจำเป็น)
  • เลขที่ใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง

การโฆษณาและข้อห้ามสำคัญ

  • อาหารเสริม
    • การโฆษณาที่กล่าวอ้างประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณ ต้องขออนุญาต อย. และมีเลขอนุญาตโฆษณา (ฆอ.) แสดงกำกับ
    • ห้ามอวดอ้างรักษาโรค ป้องกันโรค หรือทำให้เข้าใจว่ามีผลเทียบเท่ายา เช่น "รักษามะเร็งหายขาด" "ล้างสารพิษออกจากตับทั้งหมด"
    • ห้ามใช้ภาพก่อน-หลัง หรือคำรับรองเกินจริงที่ชวนให้เข้าใจผิด เช่น ลด 10 กิโลใน 7 วัน โดยไม่อ้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และไม่ได้รับอนุญาต
  • เครื่องสำอาง
    • ห้ามอวดอ้างสรรพคุณในลักษณะยา เช่น รักษาฝ้า กระลึก หายขาด รักษาสิวอักเสบหายถาวร
    • ข้อความต้องไม่เป็นเท็จหรือเกินความจริง และไม่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสารสำคัญหรือความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
    • หากใช้ Influencer/KOL ต้องระวังไม่ให้ข้อความหรือรีวิวเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต
  • ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย
    • โพสต์ โฆษณา Live ขายของ รีวิว หรือแบนเนอร์ล้วนถือเป็น "การโฆษณา" ในสายตากฎหมาย
    • หาก อย. พบการโฆษณาเกินจริง สามารถสั่งให้แก้ไข หยุดโฆษณา และดำเนินคดีกับทั้งเจ้าของผลิตภัณฑ์และผู้เผยแพร่โฆษณาได้

ผู้ประกอบการสามารถศึกษาข้อกำหนดด้านฉลากและโฆษณาอาหารได้จากฐานกฎหมายของ อย. ที่เว็บไซต์ กฎหมายอาหารของ อย. และสำหรับเครื่องสำอางจาก กองควบคุมเครื่องสำอางของ อย.

หากถูก อย. เรียกเก็บตัวอย่าง ตรวจพบสินค้าไม่ปลอดภัย หรือได้รับหนังสือเตือน ควรทำอย่างไร?

เมื่อ อย. เรียกเก็บตัวอย่างหรือมีหนังสือเตือน แปลว่า "ธุรกิจของคุณอยู่ในเรดาร์ของหน่วยงานกำกับดูแลแล้ว" การนิ่งเฉยหรือรับมือแบบไม่เป็นระบบมักทำให้เรื่องบานปลาย ทั้งในมุมกฎหมายและภาพลักษณ์แบรนด์ การตอบสนองที่รวดเร็ว โปร่งใส และมีแผนชัดเจนคือสิ่งสำคัญที่สุด

สถานการณ์ที่พบบ่อย

  • ด่านศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่ อย. ตรวจพบสินค้านำเข้าที่ไม่มีเลข อย./เลขจดแจ้ง หรือฉลากภาษาไทยไม่ถูกต้อง แล้วอายัดสินค้าหรือส่งตรวจวิเคราะห์
  • การเฝ้าระวังตลาด/ออนไลน์ พบผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาเกินจริง หรือใช้เลข อย. ที่ถูกยกเลิกแล้ว ทำให้ อย. สั่งเพิกถอนเลข หรือมีคำสั่งเรียกคืนสินค้า
  • มีผู้บริโภคร้องเรียนว่ามีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ จน อย. ต้องเก็บตัวอย่างไปตรวจสอบความปลอดภัย

แนวทางปฏิบัติทีละขั้นเมื่อได้รับการติดต่อจาก อย.

  1. อ่านหนังสือ/เอกสารจาก อย. อย่างละเอียด
    • ดูให้ชัดว่าเป็น "หนังสือสอบถามข้อมูล" "แจ้งเตือน" "คำสั่งระงับการขาย" หรือ "คำสั่งเรียกคืน" เพราะผลทางกฎหมายแตกต่างกัน
  2. แต่งตั้งผู้รับผิดชอบภายในและปรึกษาทนายความ
    • ตั้งทีมเล็กๆ ที่รวมฝ่ายกฎหมาย/Compliance ฝ่ายคุณภาพ และการตลาด เพื่อรวบรวมข้อมูลคำตอบ
    • ทนายความช่วยอ่านถ้อยคำในหนังสือ วิเคราะห์ฐานกฎหมาย และวางกลยุทธ์การตอบที่ไม่ซ้ำเติมความเสี่ยง
  3. รวบรวมเอกสารและข้อเท็จจริงให้ครบ
    • สูตรผลิต รายงานการทดสอบ (COA) สัญญากับโรงงาน/ซัพพลายเออร์ หลักฐานด้านคุณภาพ และประวัติการร้องเรียนลูกค้า
    • ประวัติการโฆษณาทั้งหมดในช่วงเวลาที่ อย. สงสัย รวมถึงโพสต์โซเชียล/คอนเทนต์ Influencer
  4. ประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภคและตัดสินใจเรื่อง "เรียกคืนสินค้า"
    • หากพบความเสี่ยงด้านความปลอดภัย แม้ก่อนที่ อย. จะสั่งเรียกคืน การริเริ่มเรียกคืนโดยสมัครใจและแจ้ง อย. มักลดความเสียหายทางกฎหมายได้
    • เตรียมแผนการเรียกคืนที่ชัดเจน: วิธีแจ้งลูกค้า ช่องทางคืนสินค้า การทำลาย/จัดการสินค้า และการชดเชย (ถ้ามี)
  5. ตอบกลับ อย. ภายในกำหนดเวลา
    • ใช้ถ้อยคำทางการ ชัดเจน และอิงข้อเท็จจริง พร้อมเอกสารประกอบ
    • หากเห็นว่าเนื้อหาคำสั่งไม่ถูกต้อง หรือเกินสมควร ทนายความสามารถช่วยจัดทำหนังสือชี้แจง/อุทธรณ์ได้
  6. ปรับปรุงระบบภายในและสื่อสารกับตลาด
    • แก้ไข SOP ด้านการตรวจสอบสูตร ฉลาก และโฆษณา เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดซ้ำ
    • เตรียมแผนการสื่อสารกับคู่ค้าและลูกค้าอย่างโปร่งใส แต่ควบคุมความเสี่ยงด้านกฎหมาย (ข้อความสื่อสารควรผ่านการกลั่นกรองโดยฝ่ายกฎหมาย/ทนาย)

เคล็ดลับลดความเสียหายต่อแบรนด์

  • หากต้องเรียกคืนสินค้า การประกาศเชิง "ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค" มากกว่า "โทษกฎหมาย" มักช่วยรักษาความเชื่อมั่นได้ดีกว่า
  • ใช้เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับมาตรฐานเอกสาร อย. ทั้งชุด (สูตร ฉลาก โฆษณา) ทบทวนผลิตภัณฑ์อื่นในพอร์ตพร้อมกัน

ทนายความช่วยอะไรได้บ้างในการเตรียมเอกสาร อย. และจัดการข้อขัดแย้งทางกฎหมาย?

ในโลกความจริง เอกสาร อย. ไม่ได้เป็นเพียงงานเอกสาร แต่เชื่อมโยงกับกลยุทธ์ธุรกิจ แบรนด์ และความเสี่ยงทางอาญา การมีทนายความที่เข้าใจกฎหมายอาหาร/เครื่องสำอางและการปฏิบัติของ อย. จะช่วยให้คุณ "วางเกม" ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มยื่น และรับมือปัญหาได้เฉียบคมกว่ามาก

บทบาททนายความในขั้นเตรียมและยื่นคำขอ

  • ช่วยวิเคราะห์และจำแนกผลิตภัณฑ์ว่าเข้ากฎหมายใด (อาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือยา) และแนะนำรูปแบบผลิตภัณฑ์/ข้อความการตลาดที่เหมาะสม
  • ตรวจร่างฉลากภาษาไทยให้เป็นไปตามกฎหมาย ลดโอกาสถูกตีกลับหรือถูกกล่าวหาว่า "ฉลากไม่ถูกต้อง" ในอนาคต
  • รีวิวคำโฆษณา สคริปต์ Live หรือสื่อการตลาดก่อนเผยแพร่ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์โฆษณาอาหารและเครื่องสำอาง
  • ช่วยวาง Timeline การยื่น อย. ให้สอดคล้องกับแผนเปิดตัวสินค้า และประสานงานกับที่ปรึกษาเทคนิค/ห้องแล็บหากต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม

บทบาททนายความเมื่อเกิดข้อขัดแย้งหรือการบังคับใช้กฎหมาย

  • วิเคราะห์หนังสือเตือน คำสั่งเรียกคืน หรือคำสั่งทางปกครองของ อย. และประเมินทางเลือก (ยอมปฏิบัติตาม/โต้แย้ง/อุทธรณ์)
  • จัดทำหนังสือชี้แจง/อุทธรณ์อย่างมีโครงสร้าง อ้างอิงข้อกฎหมายที่ถูกต้อง และลดการยอมรับข้อเท็จจริงที่อาจถูกใช้ต่อในคดีอาญา
  • เป็นตัวแทนเจรจา/เข้าพบเจ้าหน้าที่ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างเหมาะสม
  • หากมีการดำเนินคดีอาญา (เช่น โฆษณาเกินจริง ใช้สารต้องห้าม) ทนายจะเป็นผู้วางแนวทางสู้คดี ปกป้องทั้งนิติบุคคลและกรรมการที่อาจถูกกล่าวหา

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทย

  • "มีเลข อย. จากประเทศอื่นแล้ว ไม่ต้องขอในไทย"
    ข้อเท็จจริง: แต่ละประเทศมีกฎหมายของตนเอง การจะนำเข้ามาขายในไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย และขอเลข อย. /เลขจดแจ้งในไทยใหม่เสมอ
  • "ใช้ฉลากภาษาอังกฤษอย่างเดียวก็ได้ เพราะขายออนไลน์"
    ข้อเท็จจริง: กฎหมายไทยกำหนดให้มีฉลากภาษาไทยบนผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ แม้จะขายผ่านออนไลน์ก็ตาม และข้อมูลต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
  • "ถ้าใช้คำว่า 'ช่วยบำรุง' หรือ 'ดูแล' ก็พูดอะไรก็ได้"
    ข้อเท็จจริง: อย. พิจารณาทั้งบริบทข้อความ ภาพประกอบ และความเข้าใจของผู้บริโภค หากภาพ/ข้อความโดยรวมทำให้เข้าใจว่าเป็นการรักษาหรือป้องกันโรค ก็ยังถือว่าผิดกฎหมายได้

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกฎหมาย อย. สำหรับอาหารเสริมและเครื่องสำอำนำเข้า

ต้องจดบริษัทในไทยก่อนหรือไม่ หากต้องการนำเข้าอาหารเสริมหรือเครื่องสำอาง?

โดยทั่วไปต้องมีนิติบุคคลหรือผู้ประกอบการในไทยที่ได้รับอนุญาตเป็น "สถานที่นำเข้า" เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบต่อ อย. และผู้บริโภค คุณอาจใช้บริษัทลูกในไทยหรือแต่งตั้ง Distributor ที่ยอมรับบทบาทนี้ได้

ใช้เวลานานแค่ไหนในการขอ อย. สำหรับอาหารเสริมและเครื่องสำอาง?

หากเอกสารครบถ้วน เครื่องสำอางโดยมากใช้เวลารวดเร็วในระดับไม่กี่วันทำการ ส่วนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักใช้เวลานานกว่า อาจตั้งแต่ประมาณ 30-90 วันทำการ หรือมากกว่านั้นหากสูตรซับซ้อนหรือต้องแก้ไขเอกสารหลายรอบ

ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียน/จดแจ้งอยู่นระดับไหน?

ค่าธรรมเนียมภาครัฐต่อรายการมักอยู่ในระดับหลักพันบาทต่อผลิตภัณฑ์ ขึ้นกับประเภทสินค้าและช่องทางยื่น ส่วนค่าที่ปรึกษา/ค่าทนาย ขึ้นกับความซับซ้อนของพอร์ตผลิตภัณฑ์ ปริมาณสินค้าที่ต้องยื่น และขอบเขตงาน (ตั้งแต่รีวิวฉลาก-โฆษณา ไปจนถึงจัดการข้อพิพาท)

ถ้าจะเริ่มจากขายออนไลน์ปริมาณน้อยๆ ยังต้องทำ อย. ไหม?

ต้องทำเช่นกัน ไม่ว่าปริมาณการขายจะมากหรือน้อย หากเป็นการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์จะอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน การขายออนไลน์ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น

ตรวจสอบเลข อย. ของผลิตภัณฑ์ได้จากที่ไหน?

ผู้ประกอบการและผู้บริโภคสามารถตรวจสอบเลข อย. ได้จากเว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในหัวข้อ "ตรวจสอบผลิตภัณฑ์" ซึ่งจะแสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์และสถานะเลข อย. ปัจจุบัน

เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความ และขั้นตอนต่อไปของคุณคืออะไร?

หากคุณเป็นธุรกิจที่กำลังจะนำเข้าอาหารเสริมหรือเครื่องสำอางมาขายในไทย การมีทนายหรือที่ปรึกษากฎหมายที่เข้าใจกระบวนการ อย. ตั้งแต่ระยะวางแผนจะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่มีสูตรซับซ้อน สารออกฤทธิ์ใหม่ หรือต้องการทำการตลาดเชิงรุก

สัญญาณว่าควรปรึกษาทนายความทันที

  • คุณยังไม่แน่ใจว่าสินค้าของคุณควรถูกจัดเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือยา
  • สูตรมีส่วนผสมสมุนไพรหรือสารออกฤทธิ์ที่อาจอยู่ในบัญชีสารห้าม/สารควบคุม
  • ต้องการทำแคมเปญการตลาดเชิงรุก (เช่น โฆษณาทีวี อินฟลูเอนเซอร์) ที่มีข้อความเกี่ยวกับสุขภาพหรือความงามค่อนข้างแรง
  • เคยถูก อย. เตือน/อายัดสินค้า/เรียกคืนมาก่อน และไม่ต้องการให้เกิดซ้ำ

ขั้นตอนต่อไปที่แนะนำสำหรับผู้ประกอบการ

  • ทำรายการพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่ต้องการนำเข้า แยกตามประเภท (อาหารเสริม/เครื่องสำอาง) และระบุสารสำคัญ/Claims ที่อยากใช้
  • รวบรวมเอกสารจากโรงงานต่างประเทศให้ครบ (GMP, สูตร, COA, ฉลากเดิม) ตั้งแต่เนิ่นๆ
  • ปรึกษาทนายหรือที่ปรึกษากฎหมายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Lawzana เพื่อประเมินความเสี่ยง วางแผนการยื่น อย. และออกแบบฉลาก/โฆษณาที่ปลอดภัย
  • วางระบบภายในสำหรับการเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ การติดตามล็อตสินค้า และการรับเรื่องร้องเรียนผู้บริโภคเผื่อกรณีต้องมีการเรียกคืนในอนาคต

ยิ่งคุณวางแผนกฎหมายและเอกสาร อย. ตั้งแต่วันแรก การนำเข้าและขยายตลาดอาหารเสริมและเครื่องสำอางในไทยก็ยิ่งเดินได้เร็วและปลอดภัยขึ้น และเมื่อมีทนายความที่เข้าใจกฎหมาย อย. อยู่ข้างคุณ ความเสี่ยงจากค่าปรับ อายัดสินค้า หรือคดีอาญาก็จะลดลงอย่างชัดเจน

บทความที่คล้ายกัน

ต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย?

เชื่อมต่อกับทนายความที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณเพื่อรับคำแนะนำส่วนบุคคล

ไม่มีข้อผูกมัดในการจ้าง บริการฟรี 100%

เชื่อมต่อกับทนายความผู้เชี่ยวชาญ

รับคำแนะนำทางกฎหมายส่วนบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการตรวจสอบในพื้นที่ของคุณ

SB Law Asia Logo
SB Law Asia
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี 2014
ทนายความ 9 คน
ฟรี 30 minutes
คดีความและข้อพิพาท ธุรกิจ กฎหมายบริษัทและการค้า +1 เพิ่มเติม
โทรเลย

ทนายความทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบพร้อมประวัติการทำงานที่พิสูจน์ได้

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
ข้อมูลที่ให้ไว้ในหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย แม้ว่าเราจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา แต่ข้อมูลทางกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และการตีความกฎหมายอาจแตกต่างกันไป คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอ

เราปฏิเสธความรับผิดทั้งหมดสำหรับการกระทำที่ทำหรือไม่ทำตามเนื้อหาในหน้านี้ หากคุณเชื่อว่าข้อมูลใดไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย โปรด ติดต่อเรา และเราจะตรวจสอบและแก้ไขตามความเหมาะสม