- การถูกสอบสวนภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าในไทยมักเริ่มจากการตรวจสอบเบื้องต้นของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) และสามารถลุกลามไปสู่คดีโทษปรับมหาศาลได้หากจัดการไม่ดี
- ธุรกิจมีสิทธิสำคัญ เช่น สิทธิขอทราบข้อกล่าวหา สิทธิให้ทนายความเข้าร่วม และสิทธิไม่ต้องมอบข้อมูลที่เป็นความลับระหว่างทนาย-ลูกความ แต่ต้องไม่ให้ข้อมูลเท็จ
- การเตรียมเอกสารภายในอย่างเป็นระบบ การเก็บหลักฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย (compliance) และการสื่อสารภายในที่รอบคอบ จะช่วยลดความเสียหายทั้งด้านกฎหมายและภาพลักษณ์
- กลยุทธ์ตอบโต้ควรครอบคลุมทั้งมุมกฎหมาย ธุรกิจ และการสื่อสารสาธารณะ โดยมี "ทีมตอบสนองต่อการสอบสวน" ผสมผสานผู้บริหาร ฝ่ายกฎหมาย และ PR
- การมีโปรแกรมแข่งขันอย่างเป็นธรรม (competition compliance program) ล่วงหน้า เช่น การอบรมพนักงาน การกำหนดนโยบายติดต่อคู่แข่ง และการตรวจสัญญา ช่วยป้องกันไม่ให้คดีไปถึงขั้นสอบสวนอย่างเป็นทางการ
ถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขันคืออะไร และมีความเสี่ยงอะไรสำหรับธุรกิจในไทย?
เมื่อธุรกิจถูกสอบสวนภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าในไทย หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) กำลังตรวจสอบว่ามีพฤติกรรมผูกขาด ฮั้วราคา หรือใช้อำนาจเหนือตลาดโดยไม่เป็นธรรมต่อคู่แข่งหรือไม่ การสอบสวนอาจนำไปสู่โทษปรับทางปกครองและทางอาญา ความเสียหายต่อชื่อเสียง และผลกระทบต่อดีลธุรกิจสำคัญ เช่น การควบรวมกิจการหรือการระดมทุน
การเข้าใจโครงสร้างหน่วยงาน สิทธิของบริษัท ขั้นตอนการตอบสนอง รวมถึงการป้องกันล่วงหน้า จะช่วยให้ธุรกิจบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น ลดโอกาสที่คดีจะลุกลาม และอาจช่วยลดโทษได้หากพบการกระทำผิดจริง
คำถามติดตามที่พบบ่อย
- ถ้าธุรกิจได้รับ "หนังสือเชิญให้ชี้แจง" จาก สขค. ต้องตอบภายในกี่วัน?
- ในวันที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสำนักงาน บริษัทปฏิเสธไม่ให้ยึดอีเมลได้หรือไม่?
- ถ้าบริษัทร่วมมือเต็มที่กับการสอบสวน จะช่วยลดโทษได้แค่ไหน?
1. ใครเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนกฎหมายการแข่งขันในไทย และขอบเขตอำนาจคืออะไร?
หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันในไทยคือ คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กขค. เป็นผู้กำหนดนโยบายและวินิจฉัยคดี ขณะที่ สขค. ทำหน้าที่ฝ่ายเลขาฯ และผู้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน
อำนาจของหน่วยงานครอบคลุมการตรวจสอบพฤติกรรมทางการค้าเกือบทุกประเภทของธุรกิจที่ดำเนินกิจการในประเทศไทย ยกเว้นบางกลุ่มที่มีกฎหมายเฉพาะหรืออยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานอื่น เช่น บางกิจการด้านสาธารณูปโภคหรือภาคการเงิน ซึ่งอาจมีกฎเฉพาะด้านการแข่งขันที่ต่างหาก
- คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.)
- มีอำนาจออกประกาศ กำหนดแนวปฏิบัติ และวินิจฉัยว่าพฤติกรรมใดฝ่าฝืนกฎหมายการแข่งขัน
- พิจารณาคดีที่ สขค. เสนอ และมีมติให้ลงโทษทางปกครอง หรือส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินคดีอาญา
- สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.)
- เป็นหน่วยปฏิบัติและสอบสวนเบื้องต้น รับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบข้อมูลตลาด และดำเนินการเก็บพยานหลักฐาน
- มีอำนาจเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ เรียกเอกสารหรือข้อมูล และในบางกรณีสามารถเข้าตรวจค้นสถานที่ทำการของธุรกิจได้ตามกฎหมายและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง
- ขอบเขตธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับ
- ธุรกิจทุกประเภทที่ประกอบกิจการในไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยหรือบริษัทต่างชาติที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
- ประเด็นหลักที่ถูกตรวจสอบ เช่น การฮั้วราคาและแบ่งเค้กตลาด การใช้อำนาจเหนือตลาดกีดกันคู่แข่ง การกำหนดเงื่อนไขทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมหรือเลือกปฏิบัติ และการควบรวมกิจการที่อาจลดการแข่งขัน
คำถามติดตามเกี่ยวกับหน่วยงานและอำนาจ
- กิจการของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐอยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันหรือไม่?
- ถ้าธุรกิจประกอบกิจการในหลายประเทศ อำนาจของ กขค. กับต่างประเทศทับซ้อนกันอย่างไร?
- ประกาศหรือแนวทางของ กขค. ฉบับล่าสุดเกี่ยวกับการฮั้วราคาหรืออำนาจเหนือตลาดมีสาระสำคัญอะไรบ้าง?
2. สิทธิของบริษัทและพยานเมื่อถูกสอบสวนด้านการแข่งขัน
เมื่อถูกเรียกสอบสวนหรือถูกตรวจค้น บริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีแต่ "หน้าที่" เท่านั้น แต่ยังมี "สิทธิ" ที่กฎหมายรับรอง ซึ่งหากเข้าใจและใช้สิทธิอย่างถูกต้อง จะช่วยปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจโดยไม่ผิดกฎหมาย การละเลยสิทธิของตนเองอาจทำให้บริษัทให้ข้อมูลเกินจำเป็นหรือกระทบต่อการป้องกันคดีในภายหลัง
ในเวลาเดียวกัน บุคคลที่มาให้ถ้อยคำหรือเป็นพยานต้องหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลเท็จหรือปิดบังข้อเท็จจริงโดยเจตนา เพราะอาจเป็นความผิดแยกต่างหากได้ จึงควรเตรียมพยานหลักฐานและปรึกษาทนายความก่อนเข้ากระบวนการสอบสวนทุกครั้ง
- สิทธิของบริษัท
- สิทธิขอทราบข้อกล่าวหา หรือประเด็นที่กำลังถูกสอบสวนอย่างชัดเจน
- สิทธิให้ ทนายความ เข้าร่วมในการให้ถ้อยคำและการตอบคำถามของบริษัท
- สิทธิขอเวลาในการเตรียมเอกสารและข้อมูล โดยเฉพาะกรณีที่ต้องค้นข้อมูลปริมาณมากหรือย้อนหลังหลายปี
- สิทธิไม่ต้องเปิดเผยการสื่อสารระหว่างบริษัทกับทนาย (legal professional privilege) ตามหลักกฎหมายทั่วไป แม้รายละเอียดการใช้จริงอาจต้องให้ทนายประเมินทีละกรณี
- สิทธิยื่นคำชี้แจงเป็นหนังสือเพิ่มเติม หากเห็นว่าถ้อยคำที่ให้ในวันสอบสวนยังไม่ครบถ้วน
- หน้าที่ที่ควรรู้
- หน้าที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในกรอบกฎหมาย ไม่ขัดขวางหรือทำลายหลักฐาน
- ห้ามให้ถ้อยคำเท็จหรือปกปิดเอกสารโดยเจตนา เพราะอาจเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง
- สิทธิของพยานและพนักงาน
- สิทธิทราบฐานะของตนเอง ว่าเข้าให้ถ้อยคำในฐานะ "พยาน" หรือ "ผู้ถูกร้อง"
- สิทธิขอให้ทนายความของบริษัทเข้าร่วมขณะให้ถ้อยคำ (โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง)
- สิทธิขออ่านและตรวจสอบบันทึกถ้อยคำก่อนลงลายมือชื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิดพลาดในภายหลัง
คำถามติดตามเกี่ยวกับสิทธิในการสอบสวน
- ถ้าบริษัทรู้สึกว่าถูกใช้อำนาจเกินขอบเขต เช่น ขอเอกสารเกินจำเป็น สามารถคัดค้านได้อย่างไร?
- พนักงานระดับปฏิบัติการควรมีทนายความตัวเองหรือใช้ทนายของบริษัทเพียงพอแล้วหรือไม่?
- การบันทึกเสียงหรือวิดีโอระหว่างการสอบสวนในสำนักงานทำได้ในกรณีใดบ้าง?
3. เอกสารและข้อมูลที่ควรเตรียมเมื่อถูกเรียกสอบสวน
เมื่อได้รับหนังสือเชิญให้ชี้แจง หนังสือเรียกเอกสาร หรือการแจ้งสอบสวนอย่างเป็นทางการ สิ่งแรกที่ธุรกิจควรทำคือ ตั้ง "ทีมตอบสนองต่อการสอบสวน" และกำหนดผู้ประสานงานหลักเพียง 1-2 คนเพื่อลดความสับสน จากนั้นจึงวางแผนรวบรวมเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วแต่เป็นระบบ
เอกสารที่เตรียมดี ไม่เพียงช่วยให้ตอบคำถามเจ้าหน้าที่ได้ครบถ้วน แต่ยังกลายเป็นหลักฐานสำคัญว่าบริษัทมีความตั้งใจปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งมีผลทั้งต่อการประเมินความผิดและการพิจารณาลดโทษในภายหลังได้
3.1 Checklist เอกสารที่มักถูกขอและควรเตรียม
- เอกสารโครงสร้างธุรกิจและองค์กร
- หนังสือรับรองนิติบุคคล รายชื่อกรรมการ โครงสร้างผู้ถือหุ้น
- โครงสร้างกลุ่มบริษัท บริษัทในเครือ และกิจการร่วมค้า (joint venture) ที่เกี่ยวข้อง
- ข้อมูลด้านตลาดและธุรกิจ
- รายงานยอดขาย รายได้ ส่วนแบ่งตลาด (ถ้ามี) แยกตามผลิตภัณฑ์/บริการ และภูมิภาค
- นโยบายราคา ส่วนลด โบนัส ตัวแทนจำหน่าย และโครงการส่งเสริมการขาย
- สัญญาและข้อตกลงสำคัญ
- สัญญากับคู่ค้า ตัวแทน ผู้จัดจำหน่าย และคู่แข่ง (หากมี joint marketing หรือ alliance ต่างๆ)
- บันทึกข้อตกลง (MOU), minutes การประชุมที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดราคา การแบ่งเขต หรือการจัดการตลาด
- การสื่อสารภายในที่เกี่ยวข้อง
- อีเมลและข้อความที่กล่าวถึงราคา การประสานงานกับคู่แข่ง การจัดการตลาด หรือการกีดกันคู่แข่ง
- เอกสารการประชุมฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย และฝ่ายกลยุทธ์ในช่วงเวลาที่ถูกตรวจสอบ
- หลักฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance)
- นโยบายการแข่งขันทางการค้า คู่มือจริยธรรมธุรกิจ (code of conduct)
- หลักฐานการอบรมพนักงานเรื่องกฎหมายการแข่งขัน แบบทดสอบ หรือบันทึกการอบรม
3.2 แนวทางปฏิบัติเมื่อได้รับหนังสือสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่เข้าตรวจ
- แจ้งฝ่ายกฎหมายภายในและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทันที อย่าปล่อยให้พนักงานระดับปฏิบัติการตัดสินใจเอง
- ตรวจสอบ "ขอบเขตคำสั่ง" ว่ามีสิทธิขอเอกสารหรือเข้าตรวจเรื่องใด ช่วงเวลาใด และกับหน่วยงานใดในบริษัท
- ออก "คำสั่งหยุดทำลายเอกสาร" (document hold) ภายใน เพื่อป้องกันการลบอีเมลหรือทำลายหลักฐานโดยไม่ตั้งใจ
- จัดห้องหรือพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่ เพื่อควบคุมสิ่งที่ถูกตรวจสอบ ไม่ให้เดินค้นเองทั่วสำนักงานโดยไม่มีผู้แทนบริษัทกำกับ
- บันทึกว่าขอเอกสารใดไปบ้าง ถ่ายสำเนาเอกสารทุกชุดที่ส่งให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้เป็นหลักฐานของบริษัท
คำถามติดตามเกี่ยวกับเอกสารและข้อมูล
- ถ้าอีเมลหรือแชทบางส่วนมีข้อมูลที่อ่อนไหวหรือความลับเชิงกลยุทธ์ สามารถปิดทับบางส่วน (redact) ก่อนส่งได้หรือไม่?
- ในกรณีที่ข้อมูลอยู่บน server ต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ไทยมีอำนาจเรียกหรือไม่ และอย่างไร?
- บริษัทควรใช้ e-discovery หรือตัวกรองอีเมลรูปแบบใดเพื่อประหยัดเวลาแต่ไม่เสี่ยงพลาดเอกสารสำคัญ?
4. กลยุทธ์ตอบโต้เชิงกฎหมายและการสื่อสารสาธารณะเมื่อถูกสอบสวน
การถูกสอบสวนด้านการแข่งขันไม่ใช่แค่ปัญหากฎหมาย แต่ยังเป็นวิกฤตด้านชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของคู่ค้า นักลงทุน และพนักงาน การตอบสนองที่ดีจึงต้องเป็น "ทีมสหวิชาชีพ" ประกอบด้วยฝ่ายกฎหมาย ทนายความภายนอก ผู้บริหารธุรกิจ ฝ่ายสื่อสารองค์กร (PR) และในบางกรณีรวมถึงที่ปรึกษาด้านสื่อ
เป้าหมายสำคัญคือ ปกป้องสิทธิทางกฎหมายของบริษัท รักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ ลดผลกระทบต่อราคาหุ้นหรือดีลสำคัญ และสร้างหลักฐานว่าบริษัทมีเจตนาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง ไม่ใช่จงใจฝ่าฝืน
4.1 กลยุทธ์เชิงกฎหมาย (Legal Strategy)
- ประเมินความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว
- ตั้งทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน (internal investigation) เพื่อทราบว่าพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหามีมูลมากน้อยแค่ไหน
- จัดลำดับความเสี่ยง: ใครเกี่ยวข้อง พฤติกรรมเกิดเมื่อใด เอกสารที่เสี่ยงที่สุดคืออะไร
- กำหนดจุดยืนของบริษัท
- ถ้าพฤติกรรมมี "ความเสี่ยงสูง" และมีหลักฐานชัดเจน อาจพิจารณาแนวทาง "ยอมรับบางส่วน" และเน้นขอลดโทษตามกรอบที่กฎหมายและแนวปฏิบัติเปิดช่องไว้
- ถ้าพฤติกรรมมีเหตุผลทางธุรกิจ (pro-competitive justification) ต้องเตรียมหลักฐานและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ตลาดเพื่ออธิบาย
- ประสานกับหน่วยงานอย่างมืออาชีพ
- ตอบสนองต่อหนังสือและคำขอของ สขค. ภายในกำหนดเวลา หรือขอขยายเวลาอย่างมีเหตุผล
- หลีกเลี่ยงการโต้แย้งเชิงอารมณ์ แต่ใช้ข้อเท็จจริงและกฎหมายเป็นหลัก
- จัดการความเสี่ยงส่วนบุคคลของผู้บริหาร
- ให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคลแก่กรรมการและผู้บริหารที่อาจถูกกล่าวหาในนามส่วนตัว
- พิจารณาความคุ้มครองจากกรมธรรม์ D&O (Directors and Officers liability) ถ้ามี
4.2 กลยุทธ์ด้านภาพลักษณ์และสื่อสารสาธารณะ (PR Strategy)
- กำหนดคนพูดเพียงไม่กี่คน
- แต่งตั้งโฆษกหรือผู้แทนสื่อสารเพียง 1-2 คน เพื่อป้องกันข้อความสับสนหรือขัดแย้งกันเอง
- หลักการสื่อสารเบื้องต้น
- ยืนยันว่าบริษัทให้ความร่วมมือกับหน่วยงานอย่างเต็มที่
- หลีกเลี่ยงการกล่าวโทษหน่วยงานหรือคู่แข่งในที่สาธารณะ เพราะอาจส่งผลลบทั้งด้านกฎหมายและภาพลักษณ์
- ไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อเท็จจริงที่ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่ให้ความมั่นใจกับลูกค้าและคู่ค้าว่าธุรกิจดำเนินต่อได้ตามปกติ
- สื่อสารภายในองค์กร
- แจ้งพนักงานอย่างเป็นทางการว่ากำลังมีการสอบสวน และระบุช่องทางติดต่อหากถูกขอข้อมูลหรือสัมภาษณ์
- ย้ำหลักการว่า พนักงานต้องพูดกับหน่วยงานตามข้อเท็จจริง และแนะนำให้ติดต่อฝ่ายกฎหมายหรือ HR หากไม่มั่นใจ
คำถามติดตามเกี่ยวกับกลยุทธ์ตอบโต้
- ในกรณีที่ข่าวการสอบสวนหลุดสู่สื่อ บริษัทควรออกแถลงการณ์เมื่อใดและในรูปแบบใด?
- การทำ internal investigation ควรให้ทนายต่างประเทศหรือบริษัทที่ปรึกษาอิสระเข้ามาช่วยหรือไม่?
- ถ้าบริษัทมีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องเปิดเผยข้อมูลการถูกสอบสวนต่อผู้ถือหุ้นเมื่อใด?
5. แนวทางป้องกันล่วงหน้าเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายการแข่งขัน
การป้องกันล่วงหน้ามักมีต้นทุนต่ำกว่าการแก้ไขเมื่อเกิดคดีแล้วมาก โปรแกรมปฏิบัติตามกฎหมายการแข่งขัน (competition compliance) ที่ดีช่วยลดโอกาสเกิดความผิดโดยไม่ตั้งใจ เพิ่มโอกาสค้นพบปัญหาได้เร็ว และอาจถูกพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษหากเกิดการละเมิดขึ้นจริง
ธุรกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือ SME ที่อยู่ในตลาดแข่งขันสูง ควรออกแบบนโยบายและกระบวนการภายในเพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานตัดสินใจผิดพลาดภายใต้แรงกดดันของยอดขายหรือเป้าหมายกำไร
5.1 องค์ประกอบสำคัญของโปรแกรมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
- นโยบายการแข่งขันทางการค้าที่ชัดเจน
- จัดทำคู่มือหรือ code of conduct ที่ระบุชัดเจนว่าพฤติกรรมใด "ห้ามทำ" เช่น ฮั้วราคา แบ่งเขตตลาด แลกเปลี่ยนข้อมูลราคาอย่างละเอียดกับคู่แข่ง
- กำหนดขั้นตอนอนุมัติเมื่อจะทำสัญญาหรือโครงการที่อาจมีผลกระทบด้านการแข่งขัน
- การอบรมและให้ความรู้พนักงาน
- จัดอบรมพนักงานฝ่ายขาย การตลาด และผู้บริหารอย่างสม่ำเสมอ ด้วยตัวอย่างสถานการณ์จริง
- ใช้ e-learning หรือแบบทดสอบสั้นๆ เพื่อตรวจว่าพนักงานเข้าใจความเสี่ยงพื้นฐานครบถ้วน
- แนวทางการติดต่อกับคู่แข่ง
- กำหนดกติกาชัดเจนเมื่อต้องเข้าร่วมสมาคมการค้า ประชุมกลุ่มอุตสาหกรรม หรือโครงการร่วมกับคู่แข่ง
- ห้ามพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับราคา ส่วนลด แผนการขึ้น-ลงราคา หรือการแบ่งลูกค้า
- การตรวจสัญญาและโครงการสำคัญล่วงหน้า
- ให้ฝ่ายกฎหมายหรือที่ปรึกษาภายนอกตรวจทานสัญญา distribution, franchise, exclusive dealing หรือการควบรวมกิจการก่อนลงนาม
- เก็บบันทึกเหตุผลทางธุรกิจ (business justification) ไว้ทุกครั้งเมื่อกำหนดเงื่อนไขที่อาจกระทบคู่แข่ง เช่น ส่วนลดแบบพิเศษหรือตัวเลือก exclusive
- ช่องทางแจ้งเบาะแสภายใน (whistleblowing)
- เปิดช่องทางให้พนักงานแจ้งเบาะแสพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างปลอดภัยและเป็นความลับ
- กำหนดขั้นตอนตรวจสอบอย่างเป็นธรรม ไม่ใช้การแจ้งเบาะแสเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมืองภายใน
5.2 ตัวอย่าง Checklist ภายในเพื่อประเมินความพร้อม
| คำถาม | สถานะของบริษัท |
|---|---|
| มีนโยบายการแข่งขันทางการค้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่? | มี / ไม่มี |
| พนักงานฝ่ายขาย-การตลาดได้รับการอบรมด้านแข่งขันอย่างเป็นธรรมใน 12 เดือนที่ผ่านมาไหม? | ใช่ / ไม่ใช่ |
| สัญญากับตัวแทนจำหน่ายและคู่ค้าสำคัญได้รับการตรวจทานโดยฝ่ายกฎหมายหรือทนายภายนอกหรือยัง? | ใช่ / ไม่ใช่ |
| มีขั้นตอนฉุกเฉินเมื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจค้นสำนักงานหรือขอเอกสารหรือไม่? | มี / ไม่มี |
| มีช่องทางแจ้งเบาะแสภายในที่เป็นความลับ ทั้งสำหรับพนักงานและคู่ค้าหรือไม่? | มี / ไม่มี |
คำถามติดตามเกี่ยวกับการป้องกันล่วงหน้า
- บริษัทขนาดกลางหรือขนาดเล็กจะเริ่มทำโปรแกรม compliance แบบประหยัดได้อย่างไร?
- จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ compliance เต็มเวลา หรือฝ่ายกฎหมายภายในพอแล้ว?
- ควรทบทวนและอัปเดตนโยบายการแข่งขันบ่อยแค่ไหนเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศใหม่ของ กขค.?
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขันในไทย
- "ถ้าไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรก็ไม่ผิด"
ข้อตกลงฮั้วราคาหรือแบ่งตลาดไม่จำเป็นต้องอยู่ในสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร การตกลงกันด้วยวาจา หรือผ่านอีเมล/แชท ก็อาจถูกตีความเป็นการสมคบกันได้หากมีหลักฐานเพียงพอ
- "เป็นบริษัทเล็ก ไม่น่าถูกตรวจสอบ"
การสอบสวนไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้น โดยเฉพาะกรณีฮั้วราคาประมูลของหน่วยงานรัฐ หรือการตกลงกันในตลาด niche ที่มีผู้เล่นน้อย การเป็นบริษัทเล็กไม่ได้เป็นเกราะคุ้มกันจากกฎหมายการแข่งขัน
- "แค่ร่วมประชุมสมาคมการค้ากับคู่แข่งจึงไม่เสี่ยง"
การประชุมสมาคมการค้าสามารถทำได้ตามปกติ แต่หากมีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับราคา แผนขึ้น-ลงราคา หรือแบ่งกลุ่มลูกค้ากัน ก็อาจกลายเป็นหลักฐานการสมคบกันได้ ควรมีกติกาชัดเจนในการเข้าร่วมประชุมดังกล่าว
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเมื่อถูกสอบสวนด้านการแข่งขันในไทย
ถ้าบริษัทได้รับหนังสือจาก สขค. ควรทำอะไรเป็นอย่างแรก?
ควรแจ้งฝ่ายกฎหมายและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทันที ตรวจสอบเนื้อหาและกำหนดส่งเอกสาร แล้วจัดตั้งทีมตอบสนองต่อการสอบสวน พร้อมทั้งติดต่อทนายที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมายการแข่งขันเพื่อประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น ก่อนให้ข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม
การให้ความร่วมมือกับการสอบสวนช่วยลดโทษได้จริงหรือไม่?
โดยหลักแล้ว หน่วยงานมักพิจารณาความร่วมมือของบริษัทเป็นปัจจัยบรรเทาโทษ เช่น การให้ข้อมูลครบถ้วน ไม่ปิดบังหลักฐาน และการแก้ไขระบบภายในทันทีที่ทราบปัญหา อย่างไรก็ดี รายละเอียดและระดับการลดโทษขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละคดีและดุลพินิจของหน่วยงาน
บริษัทจำเป็นต้องให้พนักงานทุกคนเข้ารับการสอบสวนหรือไม่?
โดยปกติ หน่วยงานจะระบุบุคคลหรือฝ่ายที่ต้องการสอบถามข้อมูลเป็นพิเศษ บริษัทสามารถคัดเลือกผู้แทนที่เหมาะสม เช่น ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้ดูแลบัญชีคู่ค้า หรือผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง และควรให้พนักงานเหล่านี้เตรียมตัวร่วมกับฝ่ายกฎหมายก่อนเข้าให้ถ้อยคำทุกครั้ง
ถ้าบริษัทเชื่อว่าตนไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ควรต่อสู้เต็มที่หรือเจรจาประนีประนอม?
ทางเลือกขึ้นอยู่กับหลักฐาน ข้อเท็จจริง และผลกระทบต่อธุรกิจระยะยาว หากมีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนว่าพฤติกรรมมีเหตุผลทางธุรกิจและไม่ได้จำกัดการแข่งขัน การต่อสู้คดีอาจเหมาะสมกว่า แต่หากมีความเสี่ยงสูง การหารือแนวทางประนีประนอมหรือลดโทษกับหน่วยงานก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาร่วมกับทนายความ
มีกฎหมายหรือข้อมูลทางการที่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากที่ใด?
ธุรกิจสามารถอ่านตัวบทพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าและประกาศที่เกี่ยวข้องได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เช่น ส่วน "กฎหมายและประกาศ" และสามารถติดตามข่าวการบังคับใช้กฎหมายได้จากประกาศและข่าวประชาสัมพันธ์ในเว็บไซต์เดียวกัน (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า)
เมื่อไหร่ควรจ้างทนายความในการถูกสอบสวนกฎหมายการแข่งขัน?
ทันทีที่บริษัทได้รับสัญญาณใดๆ ว่ามีการตรวจสอบด้านการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสอบถามข้อมูล หนังสือร้องเรียนที่ถูกส่งสำเนามายังบริษัท หรือการที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสำนักงาน บริษัทควรพิจารณาติดต่อทนายความที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมายการแข่งขันทันที การเข้ามาเร็วของทนายช่วยลดความเสี่ยงจากการให้ข้อมูลผิดพลาด หรือการทำลายหลักฐานโดยไม่ตั้งใจ และช่วยออกแบบกลยุทธ์ทั้งด้านกฎหมายและ PR ตั้งแต่ต้น
สำหรับคดีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เกี่ยวข้องกับการฮั้วราคาประมูล การควบรวมกิจการขนาดใหญ่ หรือมีผลกระทบต่อกิจการในหลายประเทศ การมีทีมทนายทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาช่วยประเมินผลกระทบข้ามเขตอำนาจศาลมักเป็นสิ่งจำเป็น
ขั้นตอนต่อไปสำหรับธุรกิจที่กำลังเผชิญการสอบสวน
หากธุรกิจของคุณเริ่มถูกสอบถามหรือถูกสอบสวนด้านการแข่งขันในไทย ขั้นตอนต่อไปที่ควรทำคือ:
- รวบรวมข้อเท็จจริงภายใน ว่าเกิดพฤติกรรมอะไรขึ้น ใครเกี่ยวข้อง และมีเอกสารใดเกี่ยวข้องบ้าง
- ปรึกษาทนายความ เพื่อประเมินความเสี่ยง วางกลยุทธ์การตอบสนอง และตรวจสอบสิทธิของบริษัทในกระบวนการสอบสวน
- สร้างทีมตอบสนองต่อการสอบสวน ที่รวมฝ่ายกฎหมาย ผู้บริหาร และ PR เพื่อจัดการทั้งด้านกฎหมายและภาพลักษณ์
- วางแผนปรับปรุงภายใน เช่น การเสริมโปรแกรม compliance การอบรมพนักงาน และการทบทวนสัญญาหรือโครงสร้างทางการค้าที่เสี่ยง
การจัดการการสอบสวนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับแจ้ง สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากระหว่าง "คดีวิกฤตที่ทำให้ธุรกิจสะดุด" กับ "กระบวนการตรวจสอบที่ผ่านไปโดยสร้างมาตรฐานใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิมให้กับองค์กรของคุณ" หากคุณไม่แน่ใจว่าควรเริ่มตรงไหน การพูดคุยกับทนายที่มีประสบการณ์ด้านกฎหมายการแข่งขันในไทยคือจุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด